MV AGUSTA ENDURO VELOCE สายลุยไซส์กลางเลือดอิตาลี
สไตล์
เจ้าสายลุยคันใหม่คันนี้ยังคงยึดหลักแนวทางตามแบบฉบับ MV Agusta 100% คือ ผลิตในอิตาลี ผลิตและประกอบดุจดั่งงานศิลปะ ละเอียดในทุกจุดในเชิงวิศวกรรมและที่สำคัญคือสมรรถนะสูง รวมกันอยู่ในโมเดลเดียวโมเดลเดียวนี้นั่นเอง
เพียงแค่คุณชายตามองแวบเดียวคุณจะรับรู้ได้เลยว่านี่คือรถจาก MV Agusta แบรนด์ที่สวยที่สุดในโลก ด้วยฝีมือการออกแบบจากดีไซเนอร์ของทางค่ายโดยตรง เส้นสายทุกส่วนสัดถูกกำหนดออกมาว่าจะต้องลื่นไหลลงตัวอย่างไม่มีข้อแม้ ผลคือดีไซน์ที่ไม่ได้ตอบโจทย์แค่เรื่องสวยงาม แต่ยังมีเรื่องการใช้งานด้วย
ตัวรถมีท้ายที่กะทัดรัดคอนทราสต์กับด้านหน้าตัวรถที่มีความบึกบึนซึ่งช่วยป้องกันลมไม่ให้ปะทะผู้ขับขี่ขณะเดียวกันก็ให้ท่านั่งขับขี่ที่สบายและควบคุมรถได้เป็นอย่างดี แฟริ่งด้านหน้าสมบูรณ์แบบด้วยชิลด์หน้าที่ทำจากวัสดุเพล็กซี่กลาสที่ไม่เพียงแต่แข็งแรง ยังช่วยป้องกันกระแสลมปั่นป่วนบริเวณหมวกกันน็อกอีกด้วย
และแน่นอนว่าออกแบบตามหลักของอากาศพลศาสตร์ โดยมีการทดสอบและจำลองเพื่อให้ออกมาดีที่สุดในทุก ๆ รูปแบบการขับขี่ทั้งคนเดียวและมีคนซ้อน โดยเส้นสายแฟริ่งที่ด้านหน้าจะช่วยเพิ่มแอร์โฟลว์เข้าไปยังตัวแผงหม้อน้ำได้อย่างเต็มที่
หัวใจหลัก
เครื่องยนต์ใหม่ขนาด 931 ซีซีแบบสามสูบเรียงระบายความร้อนด้วยน้ำ 4 วาล์วต่อสูบ ใช้น้ำมันจากถังขนาด 20 ลิตร พร้อมเพลาข้อเหวี่ยงแบบหมุนทวน ออกแบบ พัฒนาและสร้างขึ้นเองในโรงงานของตัวเอง โดดเด่นที่น้ำหนักเบาเพียง 57 กิโลกรัมและยังมีขนาดกะทัดรัดสุด ๆ เครื่องยนต์ให้แรงม้าสูงสุดถึง 124 แรงม้าที่ 10,000 รอบ และแรงบิดสูงสุดี่ 102 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบ และยังเคลมมาว่ามีพละกำลังดีที่รอบสูง มีแรงบิดตึง ๆ ตั้งแต่รอบต่ำ ๆ โดยสามารถรีดแรงบิดมากถึง 85% จากรอบต่ำเพียง 3,000 รอบเท่านั้นเอง สุดท้ายคือท็อปสปีดสูงถึง 240 กม./ชม.
และจากการที่มีตัวเพลาข้อเหวี่ยงแบบหมุนทวน ช่วยลดแรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ และนั่นทำให้ขับขี่ได้สบาย ขับทางไกลเหนื่อยน้อยลงอีกด้วย
ช่วงล่าง
เจ้า MV Agusta Enduro Veloce อยู่ในกลุ่มแอดเวนเจอร์ไบค์พิกัดที่มีอัตราการแข่งขันสูงดังนั้นทางค่ายก็เลยตั้งใจออกแบบมาให้คนที่ได้ลองขับขี่จะต้องตกหลุมรัก ด้วยช่วงล่างที่การันตีได้ว่าจะให้สมรรถนะสูงไม่ว่าจะทั้งในทางดำหรือทางฝุ่น ขณะเดียวกันก็ต้องขับขี่ได้สบายแม้เดินทางไกล
ตัวเฟรมใช้หลักการออกแบบโครงสร้างแบบสมัยใหม่ มีเฟรมแบบเปลคู่ พร้อมเลือกใช้วัสดุที่เลือกสรรมาแล้วว่ามีความบาลานซ์กันระหว่างความแข็งแรงเพื่อให้ความนิ่งเสถียนที่ย่านความเร็วสูง และความยืดหยุ่นเพื่อที่จะสามารถซับแรงกระแทกได้เมื่อขับขี่ออฟโร้ด
ส่วนของระบบเบรกจะเป็นของทาง Brembo ด้านหน้าจะเป็นคาลิเปอร์เบรก Stylema พร้อมดิสก์เบรกคู่ขนาด 320 ม.ม. ด้านหลังจะเป็นคาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบคู่พร้อมจานเบรกขนาด 265 ม.ม. ยางและล้อจะมีขนาด 90/90-21 และ 150/70-18 โดยจะเลือกใช้ล้อ Takasago Excel ที่เป็นล้อซี่ลวดแบบไม่ต้องใช้ยางในและทำสีดำดูเข้มขลัง
ระบบอิเล็กทรอนิกส์
ในส่วนของการขับขี่ตัวรถมีระบบคันเร่งไฟฟ้า โหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Urban, Touring, Off-Road และ Custom All Terrain มีระบบ Electronically Assisted Shift (EAS) เป็นระบบควิกชิฟเตอร์ที่จะช่วยให้เปลี่ยนเกียร์ได้ทั้งขาขึ้นและขาลงโดยไม่ต้องปิดคันเร่ง มีระบบประมวลผลแรงเฉื่อยแบบ 6 แกน ที่จะช่วยสั่งการระบบอื่น ๆ ได้แบบเรียลไทม์ ทั้งแทร็คชันคอนโทรล เปิดปิดได้ ตั้งได้ 8 ระดับ 5 ระดับสำหรับการใช้งานบนถนน 2 ระดับสำหรับการขับขี่ทางฝุ่น และ 1 ระดับสำหรับถนนเปียกหรือทางลื่น ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรกปรับได้ 2 ระดับ ระบบช่วยออกตัวที่จะช่วยให้คุณออกตัวเร่งทำความเร็วจาก 0 – 100 กม./ชม. ได้ใน 3.72 วินาที ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อหน้า ระบบเบรก Cornering ABS ระบบควบคุมการลอยตัวของล้อหลัง ระบบครูซคอนโทรล
สรุปสั้น ๆ ตรงนี้เลย บอกเลยว่าให้สเปก ให้ออปชันให้ฟีเจอร์มาเยอะมาก ๆ จนเรียกว่าเหนือกว่าคู่แข่งหลาย ๆ คัน จนขึ้นไปถึงแถวหน้าได้เลยล่ะ แต่เมื่อเคาะราคาคร่าว ๆ แปลงมาตรง ๆ ก็ออกมาที่ 1 ล้านกันเลย มาขายไทยก็น่าจะกระโดดขึ้นไปอีก ซึ่งนั่นจะทำให้ไปโดนราชันสายลุยอีกค่ายนึงตบเอาได้ ดังนั้นคนที่อยากได้โมเดลนี้จริง ๆ อาจจะต้องเงินเหลือมากหน่อย และต้องการความโดดเด่นแตกต่าง นั่นล่ะถึงจะเป็นคนที่เหมาะกับโมเดลนี้ครับ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก