Honda Riding Passion เปิดประสบการณ์ขี่ BigBikeที่ ญี่ปุ่น #JapanPassion

Admin Superbike

Honda Riding Passion นี่เหมือนฝันที่คิดไว้เลยครับ ครั้งนึงกับการมา ญี่ปุ่น ในแบบเที่ยว กิน ช็อบปิ้ง เรื่อยเปื่อยไปวันๆ ซึ่งในตอนนั้นผมก็คิดว่าพอใจที่สุดแล้ววันนึง อยู่ดีๆ ผมก็อยากจะมีอารมณ์ขี่รถรอบโลกบ้าง อยากจะขี่รถไปในทุกๆ ที่ที่มีแผ่นดินให้ขี่

มันคือความฝันของไบค์เกอร์คนนึงอย่างผมที่ฝันเอาไว้ (และผมเชื่อว่าหลายๆ คนก็น่าจะคิดแบบนี้) ผมได้แต่นอนฝัน นั่งคิด นั่งมองคนอื่นทำ โดยไม่ลงมือทำมันเองสักที มาวันนี้ผมได้มีโอกาสทำตามฝันที่ได้คิดไว้ ผมได้รับเชิญจาก Honda BigBike กับกิจกรรม Riding Passion Campaign โดยจะมีลูกค้าจากทาง Honda ได้เข้าร่วมแคมเปญเดินทางนี้ด้วย
โดย 5 คนนี้จะผ่านการคัดเลือกจากคน เป็นหมื่นๆ คน จนเหลือแค่เพียง 5 คน มาร่วมเดินทางพร้อมลุย ขับขี่รถ Honda Riding Passion ญี่ปุ่น กับเส้นทางบนเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น….

ถึงเวลาสักที ผมเตรียมตัวมาร่วมเดือนกับการขับขี่รถท่องเที่ยวเปิดประสบการณ์ใหม่ 4 วันในเกาะคิวชู ภายใต้สภาพอากาศเหน็บหนาวอุณหภูมิ 2-12 องศา การรขี่รถรอบเกาะคิวชูครั้งนี้คิดเป็นระยะทางโดยประมาณ 800 กว่ากิโลเมตร ผมลงเครื่องบิน ต่อรถบัสมาจากสนามบิน Fuguoka เพื่อที่จะเดินทางมารับมอเตอร์ไซค์ ที่ทาง Honda ได้จัดเตรียมไว้

และมันจะเป็นคันอื่นไมได้เลยครับ มันต้องเป็น Honda CB1100 เท่านั้นถึงจะเหมาะกับทริปการเดินทางครั้งนี้ โดยทาง Honda ได้จัดหามาจากทั่วประเทศเพื่องานนี้โดยเฉพาะรวมๆ แล้วเกือบ 30 คัน เป็น Honda CB1100 2016-2017 ทุกคัน สภาพเหมือนมือ 1 ขี่ได้ อย่างสบายใจ

แต่ถึงแม้จะสบายใจกันแล้ว แต่ตอนนี้เริ่มไม่สบายกายละอุณหภูมินั้นลดลงเรื่อยๆ หรือว่าผมเองอาจจะปรับสภาพร่างกายไม่ทันก็ไม่รู้
ระหว่างทางมีทีมงานแจ้งมาว่าอาจจะเจอฝนและอุณหภูมิบางจุดที่เราจะไปอาจจะลดลงเหลือ 3-5 องศา ให้เตรียมตัวดีๆ เพราะขับรถโต้ลมหนาว จะหนาวกว่ายืนอยู่เฉยๆ เป็นเท่าตัว ไม่รีรอครับ ผมเดินเข้า Rico Land จัดชุดกันฝนมา 1 ชุดราคาพันกว่าบาท เหมือนรู้ว่าต้องมีคนไม่พร้อม ถือว่าทำการบ้านมาดีครับ (ทางทีม Honda นะครับ)

ได้รับรถกันเป็นที่เรียบร้อย ทุกคนเตรียมพร้อม เราเดินทางซ้อมๆ กันก่อน 100 กว่ากิโลเมตร ปรับสภาพร่างกาย ให้เข้ารถและสภาพอากาศ ที่เรียกได้ว่าหนาวมากครับ ครั้งแรกในชีวิตกับการขี่รถ CB1100 ในประเทศญี่ปุ่น ในรถแต่ละคันจะมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า DCT ติดไว้ นั้นคือ ที่จ่ายค่าทางด่วน หรือถ้าคล้ายๆ บ้านเราก็คือ Easy pass นั้นเองครับ เติมเงินไว้แล้วขี่ผ่านช่องทาง DCT ผ่านขึ้นทางด่วนได้เลย

ที่ประเทศญี่ปุ่น มอเตอร์ไซค์สามารถขึ้นทางด่วนได้ สบายๆ แต่ความเร็วจะถูกจำกัดไว้ที่ 100-120 กม./ชม. เอาเป็นว่าเข้าต้องตามกฎครับ เดี๋ยวติดคุกมาจะยาว ไม่นานจากที่รับรถ ประมาณ 2 ชั่วโมงกับแวะเติมน้ำมัน 1 ครั้ง เราก็เดินทางมาถึงที่พักที่ Water Mark Hotel Huisten Bosch เป็นคืนแรกสุดพิเศษ พร้อมกับแช่ออนเซนหรือบ่อน้ำร้อนแสนสบายคลายหนาวและแก้เหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้อ เพื่อที่จะได้พร้อมลุยกันต่อในวันถัดไป

วันที่ 2 ที่อยู่ใน Fuguoka ท้องฟ้าเป็นใจให้พวกเรา วันนี้จุดหมายปลายทางของเราจะเดินทางไปชมภูเขาไฟทาวาระยาม่า ทางคนนำทาง เขาบอกจะผ่าน Milk Road ชื่อแปลกๆ ค้นหาเอาในอินเตอร์เน็ต สวยมากครับ ต่อไปเห็นกับตาซักครั้ง อย่างน้อยๆ ก็ได้สัมผัสแสงแดด ลมหนาว ดีกว่านั่งรถบัสฟังไกด์ บรรยายมันน่าเบื่อครับ เราเดินทางกันต่อโดยวันนี้เราจะเดินทางอีกประมาณ 200 กว่ากิโลเมตร อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เสื้อกันหนาวเริ่มเอาไม่อยู่

ขับไปแทบจะไม่อยากกระพริบตา Milk Road ที่ดูในอินเตอร์เน็ต กับสิ่งที่เราเห็นมันไม่เหมือนกันเลย ที่ตามองเห็นมันสวยมาก สวยที่สุดในชีวิตที่เคยขี่รถมา ทุ่งหญ้าเป็นร่วงๆสีทอง ทั้งภูเขา สลับกันไปมา สะบัดกับสายลมหนาวตลอดเส้นทางประมาณ 4-5 กม. เป็นสิ่งที่ประทับใจมาก เป็นเส้นทางก่อนขึ้นภูเขาไฟ แต่เวลาผ่านไปไวเหมือนโกหก หมดแล้วกับถนนสุดสวย นวลๆ ขนาดนี้ ขึ้นมาชมวิวสวยๆ ภูเขาไฟทาวาระยาม่า

เอาจริงๆ สวยทุกมุม ทุกจุด ตู้น้ำกดๆ ยังถ่ายรูปเลย กลุ่มของพวกเราได้รับความสนใจกับคนญี่ปุ่นอย่างมากเพราะ เป็นกลุ่มคนที่ขี่รถมาเที่ยวมากที่สุด และก็เป็น CB1100 หมดทุกคัน เวลายังคงเดินเรื่อยๆ แม้เราจะอยากอยู่ชมความงามต่อ แต่เราต้องไปก่อนฟ้าจะมืด ฤดูหนาวที่ญี่ปุ่นนั้นพระอาทิตย์ตกค่อนข้างจะไวห้าโมงครึ่งฟ้าก็มืดแล้ว ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยจึงต้องรีบเข้าที่พัก

เพราะเราเปลี่ยนที่พักทุกคืน กับเดินทางไปรอบๆ เกาะ โดยวันนี้เรามานอนที่ ASO Farm Village Hotel คืนนี้เป็นอีกคืนที่มีออนเซนที่ทุกคนในทริปถามถึง เพราะสภาพอากาศที่ผ่านมามันหนาวมาก อยากจะแช่ออนเซนสบายๆ คลายตัวกันหน่อย แล้วก็หมดไปอีกวัน เรียกว่ากลับบ้านไปต้องมีฝันถึง Milk Road แน่ๆ

วันที่ 3 ฟ้าฝนไม่เป็นใจ ฝนตกครับ!! สิ่งที่คิดไว้มันมาให้เราลองจนได้ แต่ว่าอยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝนลุยสิครับ รออะไร เดินมาถึงรถ ฝนตกหนักกว่าเดิม ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนนิดหน่อย เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาเราขึ้นรถบัสแทน เพื่อที่เราจะเดินทางไปที่ Takachiho แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติและวัฒนธรรมที่คนญี่ปุ่นมักจะแวะเวียนมา แต่ยังไม่เป็นที่นิยมในหมู่ชาวต่างชาตินักเนื่องจากเดินทางลำบาก แต่ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา เมื่อมาถึงที่ครับกลับผิดคาด

เพราะคนเยอะมากคนเดินชมกับเพียบ เป็นช่วงใบไม้เปลี่ยนสีพอดี สวยจริงๆ อย่างที่คิดไว้ Takachiho Gorge นั้นเป็นช่องผาลึกที่เกิดจาการกัดเซาะของแม่น้ำ Gokase ผนังของหน้าผานี้คือหินบะซอลต์ที่ค่อยๆ ก่อตัวตอนที่ภูเขาไฟ Aso ระเบิด น้ำในลำธารเป็นสีเขียวไหลผ่านช่องรอยต่อเป็นอะไรที่สวยงามมาก

เดินจนครบเราก็แวะทานอาหารพื้นบ้านเป็นปลาย่างเกลือที่ชาวบ้านได้เลี้ยงไว้เอง อร่อยมาก เนื้อละมุนลิ้น วันนี้เราค่อนข้างรีบเพราะต้องทำเวลา เนื่องจากเราต้องกลับไปเอารถที่โรงแรม แล้วเดินทางไปอีกที่นึง นั้นก็คือ สะพานแขวน Kokonoe Yume Bridge ฝนเริ่มปรอยๆ ลงมา ทางทีมงานตัดสินใจ ลุยครับ ใส่เสื้อกันฝนแล้วลุยผ่าฝนกันเลย

เพื่อให้เดินทางกันต่อได้ แต่ต้องขับช้าๆ เพราะไม่งั้นจะเกิดอันตรายได้ ใช้เวลาเดินทางจากโรงแรม ค่อนข้างนาน เพราะเป็นถนนสองเลน ลอดช่องภูเขา ไม่สามารถแซงได้ กว่าจะมาถึงสะพานแขวนก็ใช้เวลาไปพอสมควร สะพานนี้เชื่อมต่อกันระหว่าง 2 หุบเขา

ระหว่างข้ามสะพานจะเห็นน้ำตก ที่ติด 1 ใน 100 น้ำตกที่สวยที่สุดในโลก แต่สะพานคนเดินค่อนข้างเยอะ มันก็จะเสียวๆหน่อยเพราะมันโยกไปโยกมา น่ากลัว บางคนถึงกับ คลานกันเลยทีเดียว มาที่นี้ ได้มีโอกาสถ่ายภาพหมู่อย่างเป็นทางการสักที ได้รูปเป็นที่ระลึกกันไป คนละ 1 รูป กับ 1 พันภาพในสมอง หลังจากนั้นก็ได้เวลาเดินทางเข้าที่พักกันต่อ เราเดินทางมาถึงที่ Beppuwan Royal Hotel

เอาจริงๆ แล้วมาที่นี่กี่ครั้งก็ใช้โรงแรมไม่เคยคุ้มเลย ออกไปเดินโน่นเดินนี่ แล้วก็กลับมานอนสัก 4-5 ชั่วโมง แล้วก็ตื่น ถึงจะมีใครบอกให้เราพักเยอะๆ เพราะพรุ่งนี้เดินทางไกล กลับไปที่จุดเริ่มต้นที่เรารับรถมาในตอนแรก แต่ไม่มีทางหยุดพวกผมได้ครับ มันต้องออกไปยืดเส้นกันหน่อย ทุกคืน เดี๋ยวนอนไม่หลับครับ….

วันที่ 4 เราเดินทางกันต่อ มุ่งหน้าไปปราสาท Nakatsu เป็นสถานที่ที่เงียบสงบ แต่เรามาช้าไปหน่อย ใบไม้ที่เคยเปลี่ยนสีเริ่มร่วงหมดแล้ว แต่ความสวยงามของปราสาทยังสวยงดงามอยู่เหมือนเดิม เดินชมได้สักพักเราก็ต้องเดินทางกลับ Fuguoka แต่ก็แอบแวะเข้ามาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันหน่อย

ผู้นำทางบอกว่าถ้าเราเข้าเมืองได้เร็วมากเท่าไร เราจะมีเวลาช็อปปิ้งมากขึ้นเท่านั้น เราใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง รถติดบ้าง แซงบ้างไม่ได้บ้าง แวะเติมน้ำมัน ไปเรื่อยๆ สักพักก็ถึง Rico Land ที่เป็นจุดเริ่มต้นและจุดสุดท้ายที่เรามาคืนรถ การขี่รถจบสิ้นแต่เพียงเท่านี้ ปลอดภัยทั้งคน ทั้งรถ ตามคอนเซ็ปต์ ขับขี่ปลอดภัย ของทาง Honda


ทริปการเดินทางล่าฝันครั้งนี้ประสบความสำเร็จกันทุกๆ ฝ่าย ทั้งลูกค้าทั้งผู้สนับสนุนใจดีที่ให้โอกาส แต่ทริปนี้ยังไม่จบดีครับ เรามาถึงที่นี้ ต้องไปช็อปกันหน่อย ผมก็ได้หมวก Nicky Hayden SB ตัวใหม่มา 1 ใบ หล่อๆ ราคาค่อนข้างถูกกว่าที่ไทยพอสมควร บางคนก็ไปช็อปปิ้งตามใบสั่งแม่บ้านกัน ส่วนมากทริปนี้มีแต่ผู้ชาย บางคนก็ไปจัด iPhone X มีโอกาสก็ซื้อเข้าไปครับ พอเหมาะพอบัตรเครดิตเต็มครับ

ช่วงเย็นมีปาร์ตี้กันต่อ Honda จัดให้เต็มที่กับทริปนี้ คืนนี้เราก็เต็มที่ครับ 4 วันเต็มๆ ในเกาะคิวชู ประเทศญี่ปุ่น เราขี่รถเดินทางมาร่วมๆ 800 กว่ากิโลเมตร เป็นวงกลมรอบเกาะ ใช้คำว่าขี่รอบเกาะเลยก็ได้ครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ที่หาได้ยาก แต่เราได้มีโอกาสมาค้นหา ได้มาลองสักครั้งนึงในชีวิตที่ได้ขี่รถในประเทศญี่ปุ่น ส่วนทริปล่าฝันทริปหน้าต่อไปจะเป็นใคร ได้ไปขี่ที่ไหน ติดตามกันให้ดีครับ… พรุ่งนี้ผมบินกลับ คืนนี้ขอหน่อยแล้วกันนะครับ…

ขอขอบคุณ
AP HONDA / Honda Bigbike
Japan Rider ที่นำทางเราในครั้งนี้
Rental 819 ที่จัดหา Honda CB1100 มาได้เยอะที่สุดในประเทศ

อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้ 
ติดตามข่าวสาร Facebook คลิกทีนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Next Post

Bigbike หรือ บิ๊กไบค์ คืออะไร ตามกฎหมายมันยังไง มาดูกัน

Bigbike หรือ บิ๊กไบค์ คืออะไร ตามกฎหมายมันยังไง มา […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version