Big Boxer นั้นหลายๆ คนน่านะได้เห็นโฉมหน้า BMW Concept R18 คอนเซ็ปต์ไบค์ในสไตล์ของคัสตอมไบค์ที่ออกมาให้เราได้เห็นโฉมหน้ากันในงาน Concorso d’Eleganza Villa d’Este ตอนเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ไม่พอยังมีในเจ้า BMW Concept R18 /2 อีกด้วย และนั่นเป็นเหมือนการส่งข้อความแจ้งเตือนเหล่าสาวก BMW สายคัสตอมให้เตรียมเงินเตรียมใจไว้ให้พร้อมเพราะ BMW Concept R18 นั้นมีแนวโน้มจะผลิตเป็นรถโปรดักชั่นเพื่อขายจริงสูงมาก
เจ้าคอนเซ็ปต์ R18 คันที่คุณเห็นในรูปนั้นเป็นการสื่อให้เห็นถึงแก่นแท้ของรถคลาสสิคของทาง BMW Motorrad ในยุคสมัยใหม่นี้ และยังบอกใบ้ถึงหน้าตาและความเป็นไปได้ของ BMW R18 รถโปรดักชั่นที่มีแนวโน้มจะผลิตขายจริงๆ ในอนาคตอันใกล้นี้
แต่ที่เราสนใจในคราวนี้สิ่งที่เราสนใจมากกว่าก็คือเครื่องยนต์อันเป็นเอกลักษณ์ของค่ายใบพัดสีฟ้าอย่าง เครื่องยนต์บ็อกเซอร์ ที่ครั้งนี้กลับมาพร้อมชื่อว่า “Big Boxer” ซึ่งเจ้าเครื่องบิ๊กบ็อกเซอร์ถือเป็นพระเอกสำคัญของ BMW Concept R18 และ BMW Concept R18 /2
โดยเจ้าเครื่อง Big Boxer ใหม่นี้เป็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ โดยยังคงคอนเซ็ปต์เดิม แต่มีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 1,800 ซีซี และทำให้เจ้าเครื่องบิ๊กบ็อกเซอร์นี้กลายเป็นเครื่องยนต์ที่ใหญ่ที่สุดของทางค่าย BMW ไปในตอนนี้
ทั้งนี้ชื่อบิ๊กบ็อกเซอร์นั้นมีที่มา ไม่ใช่แค่เพียงในแง่ของหน้าตาตัวเครื่องที่ยื่นออกมาด้านนอก แต่ยังรวมไปถึงในเชิงเทคนิคอีกด้วย ชื่อนี้ไปพ้องกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์รุ่นดั้งเดิมของมอเตอร์ไซค์ที่ผลิตขึ้นในเมือง Munich และ Berlin-Spandau มากว่า 70 ปี ตั้งแต่เริ่มต้นการผลิตของ BMW Motorrad ในปี 1923 เลยทีเดียว โดยยังคงไว้ซึ่งความเป็นเอกลักษณ์ได้เป็นอย่างดี อาทิ การระบายความร้อนด้วยอากาศ ดีไซน์ที่เห็นได้ชัดเจนว่าออกแบบมาเพื่อความทนทานและบำรุงดูและรักษาง่าย แต่ก็ไม่ทิ้งเรื่องพละกำลังของเครื่องยนต์
ด้วยระบบวาล์วแบบโอเวอร์เฮดวาล์วกับเครื่องยนต์ที่แยกส่วนกับชุดระบบขับเคลื่อน เครื่องยนต์บิ็กบ็อกเซอร์ใหม่นี้ มีลักษณะทางโครงสร้างที่ต่างไปจากกับเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ตัวแรกของ BMW Motorrad ซึ่งตอนนั้นใช้วาล์วที่ถูกควบคุมในด้านข้างแทนที่จะเป็นด้านบนเหมือนตอนนี้ โดยเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ 2 สูบที่มีความจุมากที่สุดที่เคยใช้ในการผลิตรถมอเตอร์ไซค์นั้นคือ 1,802 ซีซี มีขนาดกระบอกสูบใหญ่ถึง 107.1 มม.และระยะชักที่ 100 มม. ให้กำลังแรงม้าถึง 91 แรงม้าที่ 4,750 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 158 นิวตันเมตรที่รอบต่ำเพียงแค่ 3,000 รอบ และให้แรงบิดสูงถึง 150 นิวตันเมตรตั้งแต่ในช่วงรอบ 2,000 – 4,000 รอบ การันตีได้ว่ารถจะมีแรงดึงตึงๆ ตั้งแต่แรกๆ ช่วยให้รถขนาดใหญ่ออกตัวได้สบายๆ และขับขี่ได้นุ่มนวลอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันก็มีเรดไลน์ที่ 5,750 รอบและรอบเดินเบาที่ 950 รอบ
เครื่องใหม่นี้จะมีเพลาข้อเหวี่ยงที่ฟอร์จขึ้นจากเหล็กกล้าชุบแข็ง มีแบริ่งหลักเพิ่มเข้ามาตรงกลาง ซึ่งจำเป็นสำหรับเครื่องยนต์ที่มีกระบอกสูบขนาดใหญ่เพื่อป้องกันการสั่นสะเทือนเกินความจำเป็นที่เกิดจากเพลาข้อเหวี่ยงทำงาน
ก้านสูบและเพลา I-shaft จะถูกติดตั้งเข้ากับแบริ่งเช่นกัน และฟอร์จจากเหล็กกล้าชุบแข็งเหมือนกัน ทั้งคู่ทำหน้าที่ร่วมกันกับลูกสูบอลูมิเนียมพร้อมกับแหวนสูบ 2 วงและแหวนกวาดน้ำมัน โดยในส่วนของผิวกระบอกสูบจะเคลือบด้วยนิคาซิล (NiCaSil)
ระบบหล่อลื่นและตัวออยคูลลิ่งใช้ระบบอ่างน้ำมันเครื่องที่ทำงานร่วมกับปั๊มน้ำมันเครื่อง 2 สเตจที่ทำงานด้วยโซ่ที่ขับด้วยเพลาข้อเหวี่ยงอีกที
วาล์วแบบโอเวอร์เฮดจะใช้ระบบขับด้วยเพลาข้อเหวี่ยง 2 ชิ้นแบบเดียวกับ R 5 และ R 51/2 ร่วมกันกับเทคโนโลยี 4 วาล์วตามแบบรถสมัยใหม่และระบบจุดระเบิดแบบหัวเทียนคู่
นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดเชิงเทคนิคลึกลงไปอีกมาก ตัวผมเองคิดว่าน่าจะเกินความจำเป็นที่จะรวบรวมมาให้อ่าน แต่หากใครสนใจจริงๆ ลองคอมเมนต์มาก็ได้นะครับ เผื่อมีโอกาสจะนำมาลงเพิ่มเติมนะครับผม
ที่มา BMW Motorrad
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก