TRACER 9 และ TRACER 9 GT ทั้งแรงทั้งเบา เอาตังไปเลยดีกว่า!!

Admin Superbike

TRACER 9 และ TRACER 9 GT ทั้งแรงทั้งเบา เอาตังไปเลยดีกว่า!!

TRACER 9 และ TRACER 9 GT

Yamaha ปี 2021 นี่เปิดตัวโมเดลใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องจริงๆ ครับ และนี่ก็เป็นอีกโมเดลที่น่าสนใจมากๆ สำหรับสายสปอร์ตทัวริ่ง ที่คราวนี้ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้ถูกใจไบค์เกอร์มากๆ บอกเลย

เดิมที่โมเดลสปอร์ตทัวริ่งพิกัดนี้เริ่มเปิดตัวครั้งแรกในปี 2015 ในชื่อของ Tracer 900 โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ที่แรง แต่ก็สามารถใช้เดินทางไกลได้แบบสบายๆ และมาล่าสุดกับโมเดลที่ปรับปรุงใหม่ๆ โดยเป้าหลักๆ คือรองรับมาตรฐาน Euro5 ก็มีการปรับเปลี่ยนขนานใหญ่ในหลายๆ ส่วน แม้กระทั่งชื่อโมเดลก็มีการเปลี่ยนให้เรียกง่ายขึ้นด้วยเช่นกัน 

 

 ดีไซน์ใหม่หมด

มีการปรับปรุงดีไซน์แฟริ่งและตัวรถใหม่หมด โดยมีการเน้นว่าจะต้องให้ความสปอร์ต ดุดัน ลื่นไหลและคล่องตัวให้มากขึ้น มีไฟหน้า LED คู่ใหม่ละม้ายคล้ายกับรุ่นน้องพิกัด 700 และตอนนี้เป็นไฟ LED รอบคันแล้ว ให้ภาพลักษณ์ที่ออกมาในโมเดิร์น 

ชิลด์หน้าขนาดใหญ่ปรับได้ด้วยมือ สามารถปรับระดับให้สูงขึ้นได้อีก 50 ม.ม. เมื่อรวมกับการ์ดแฮนด์น้ำหนักเบาแล้วก็ช่วยป้องกันลม และสภาพอากาศต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น

เรือนไมล์สี TFT ขนาด 3.5 นิ้วแบบคู่แสดงผลข้อมูลต่างๆ ที่จำเป็นได้ครบถ้วน 

 

ขุมกำลังใหม่

เครื่องยนต์ใหม่บล็อกเดียวกันกับ MT-09 2021 เป็นเครื่อง CP3 3 สูบขนาด 890 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ  โดยความจุเพิ่มจากการเพิ่มระยะชัก 3 ม.ม. ทำให้ได้แรงบิดมากขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์ แรงม้ามากกว่าเดิมอีก 4 ตัว โดยให้แรงม้าสูงสุดที่ 119 แรงม้าที่ 10,000 รอบ (แรงขึ้น 4 แรงม้า) และแรงบิดสูงสุดที่ 93 นิวตันเมตรที่ 7,000 รอบ ซึ่งสั้นๆ ก็คือมีซีซีมากขึ้น แรงขึ้น และรองรับมาตรฐาน Euro5 แต่แอบมีน้ำหนักเครื่องยนต์เบาลง 1.7 กิโลกรัม

เฟรมใหม่

เฟรมเดลต้าบ็อกซ์แบบดายแคสต์ที่ควบคุมด้วยคอมพิวเตอร์ มีขนาดกะทัดรัดและน้ำหนักเบากว่าเดิม เมื่อบวกรวมกับองศาการวางเครื่องใหม่ที่ 52.3º เดิมที่ 47.5º ค่อนมาทางตั้งตรงมากขึ้นทำให้บาลานซ์ดีกว่าเดิมและจับฟีลลิ่งที่ด้านหน้าได้ดีขึ้น ซึ่งทั้งสองจุดนี้ทำให้ควบคุมรถได้ดีขึ้นและคล่องตัวมากขึ้น 

สวิงอาร์มใหม่

สวิงอาร์มอลูมิเนียมดีไซน์ใหม่ยาวขึ้น 60 ม.ม. ทำให้ระยะฐานล้อยาวขึ้น ช่วยเพิ่มความเสถียรขณะขับขี่ได้มากขึ้น

 

พร้อมรองรับกล่อง 3 ใบ 

ยามาฮ่าออกแบบระบบ Floating Stay ขึ้นมาเพื่อให้สามารถติดตั้งกล่องข้างได้ ซึ่งแยกการขยับตัวของกล่องออกจากตัวรถ ทำให้ยังขับขี่ได้นิ่งแม้ในความเร็วสูง และมือจับคนซ้อนเองก็รองรับการติดตั้งกล่องท้ายในตัว ซึ่งเมื่อรวมกับเฟรมใหม่ทำให้สามารถรับน้ำหนักทั้งหมดได้ถึง 193 กิโลกรัม หรือมากขึ้น 7 เปอร์เซ็นต์จากเดิม

 

 ระบบอิเล็กทรอนิกส์จัดเต็ม

จัดเป็นสปอร์ตทัวริ่งที่มีระบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งช่วยทั้งในเรื่องของความปลอดภัยและการขับขี่ในระดับหัวแถวของคลาสระดับกลางค่อนไปทางสูง อาทิ หน่วยประมวลผลแรงเฉื่อยแบบ 6 แกน ซึ่งช่วยให้ระบบอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ทำงานได้ดีขึ้น เช่น แทร็คชั่นคอนโทรล สไลด์คอนโทรล ลิฟต์คอนโทรล และเบรกคอนโทรล (ซึ่งระบบทั้งหมดปรับได้อีก 3 ระดับ ยกเว้นระบบเบรกคอนโทรลนั้นปรับได้ 2 ระดับ)

ยังไม่หมดกับเรื่องระบบอิเล็กทรอนิกส์ ยังมีโหมดการขับขี่หรือ D-Mode อีก 4 โหมดให้เลือกตามสถานการณ์หรือตามความชอบ Mode 1 – Mode 4 โดย Mode 1 จะให้การตอบสนองต่อคันเร่งรวดเร็วฉับไว ให้กำลังแรงเร้าใจ และลดระดับลงมาจนถึง Mode 4 ที่น้อยที่สุดและเหมาะกับถนนที่เปียกแฉะ

และแน่นอนว่าเป็นทัวริ่งจะขาดระบบครูซคอนโทรลไปไม่ได้ครับ โดยครั้งนี้เป็นโหมดติดรถมาเลย ไม่ต้องติดตั้งเพิ่ม โดยเริ่มทำงานได้ที่ 50 กม./ชม.ขึ้นไป และใช้เกียร์ 4 ขึ้นไป สามารถปรับระดับได้สเต็ปละ 2 กม./ชม. และยกเลิกได้ง่ายดาย เพียงแตะเบรก กำคลัตช์ หรือบิดคันเร่ง 

พร้อมกันนี้ยังได้ปรับปรุงระบบคันเร่งไฟฟ้าโดยใช้เซ็นเซอร์ใหม่ Accelerator Position Sensor Grip (APSG) แบบเดียวกับที่ใช้ใน R1M ทำให้ตอบสนองได้แม่นยำมากขึ้น

 

ออกแบบระบบจ่ายน้ำมันใหม่

มีการออกแบบระบบการจ่ายน้ำมันใหม่ทั้งหมด ย้ายตำแหน่งหัวฉีดมาด้านข้างของวาล์วปีกผีเสื้อ บวกกับชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ที่เบาลง ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 9 เปอร์เซ็นต์ ช่วยให้ถังน้ำมันขนาด 18 ลิตรเท่าเดิมนั้นไปได้ไกลกว่าเดิม การันตีที่อย่างน้อยๆ 350 กม./ชม. ซึ่งดีมากเพราะไม่ต้องเพิ่มขนาดถังให้ตัวรถหนักโดยไม่จำเป็น 

 

 ระบบไอเสียใหม่

Tracer 9 มีการใช้ปลายท่อไอเสียแบบ 3 ออก 2 โดยมีคอท่อ 3 คอควบรวมเข้าหม้อพักและออกปลาย 2 ท่อ มีน้ำหนักเบาลง 1.4 กิโลกรัม และมีน้ำหนักมาตกที่กลางรถมากขึ้น ช่วยให้ควบคุมรถได้ดีและคล่องตัว 

 

 ปรับปรุงระบบส่งกำลังใหม่

มีการปรับปรุงระบบส่งกำลังใหม่ โดยมีการเพิ่มอัตราทดเกียร์ 1 และ เกียร์ 2 ให้สูงขึ้นรับกับแรงบิดที่มีมากขึ้นในช่วงรอบต่ำ และเพื่อให้เปลี่ยนเกียร์ได้นุ่มนวลขึ้นมีการปรับก้านชิฟต์ใหม่ ใช้ระบบแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์ใหม่ ที่ใช้แผนคลัตช์ทำจากวัสดุใหม่ รวมถึงปรับองศาของแค็มใหม่ช่วยให้มือคลัตช์เบาและนุ่มนวลเวลาเชนเกียร์ลง 

 

ออกแบบจุดยึดเครื่องใหม่เฉพาะโมเดลนี้

แม้ว่าเจ้าโมเดลสปอร์ตทัวริ่งทั้งสองคันนี้จะมีพื้นฐานเดียวกันกับ MT-09 2021 แต่ทางยามาฮ่ามีการออกแบบพัฒนาจุดยึดเครื่องยนต์ใหม่โดยเฉพาะโมเดลนี้ โดยเพิ่มความหนาบริเวณจุดยึดเครื่องยนต์ด้านข้างและด้านบนซึ่งอาศัยเครื่องยนต์รับภาระน้ำหนักตัวรถ ทำให้รถนิ่งกว่าแม้ว่าจะบรรทุกเต็มพิกัด

 

ล้อน้ำหนักเบา

ล้อสปินฟอร์จแบบ 10 ก้านของทางค่ายมีขนาดแกนล้อที่ใหญ่ขึ้นเหมาะกับตัวรถ แต่มีน้ำหนักเบากว่าเดิม 700 กรัม ซึ่งน้ำหนักใต้สปริงที่น้อยลงนั้นจะมีผลดีต่อการขับขี่มากๆ เลยล่ะครับ

 

ช่วงล่างใหม่ 

มีการใช้ช่วงล่างใหม่ที่สามารถปรับแต่งได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้สอดคล้องการสภาพการขับขี่แบบต่างๆ โดยด้านหน้าจะใช้โช้คหัวกลับ KYB ขนาด 41 ม.ม. ปรับแต่งได้เต็มระบบ ที่มีขนาดแกนสั้นลงเพื่อรับกับดีไซน์ใหม่ที่มีคอท่อต่ำลง ส่วนโช้คหลัง KYB นั้นก็สามารถปรับแต่งค่าได้เต็มระบบเช่นกันเพื่อให้เหมาะกับการโหลดสัมภาระหรือมีคนซ้อน 

 

ท่านั่งขับขี่ที่ดีขึ้น

เบาะนั่งขับนั้นต่ำลง 15 ม.ม.เมื่อเทียบกับโมเดลเก่า สามารถปรับระดับได้ 2 ระดับโดยไม่ต้องใช้เครื่องมือเพิ่ม มีการปรับให้พักเท้าปรับระดับความสูงได้ 15 ม.ม. และตำแหน่งแฮนด์บาร์สามารถปรับให้ยื่นไปข้างหน้า 9 ม.ม. และสูงขึ้นได้อีก 4 ม.ม. ทำให้สามารถปรับองศาท่านั่งต่างๆ ได้หลากหลายตามลักษณะตัวเจ้าของรถ และความชอบ ช่วยให้อยู่ในท่าที่ควบคุมรถได้ดีและสบายมากที่สุด

 

ระบบเบรกดีขึ้น

มีการอัพระดับมือเบรกหน้าให้เป็นแบบเรเดียลเมาท์ Nissin แบบเดียวกับ R1 ทำให้แรงเบรกมีความต่อเนื่อง ให้ฟีลลิ่งถึงแรงเบรก และควบคุมแรงเบรกได้แม่นยำกว่า 

 

สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในรุ่น GT 

  • กล่องข้างแบบฮาร์ดเคสสีเดียวกับตัวรถ

  • โช้ค KYB ปรับไฟฟ้า หรือ KYB Actimatic Damper System (KADS) ปรับได้เองหรือเลือกใช้งาน 2 โหมดที่มีมาให้
  • ควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง

  • ระบบไฟคอร์เนอริ่งไลท์ เพิ่มทัศนวิสัยเมื่อเข้าโค้ง องศาเอียงตัวรถมากกว่า 7 องศาและมีความเร็วอย่างน้อย 5 กม./ชม.ไฟนี้ก็จะส่องสว่างขึ้น แต่ไม่ได้มีหลายดวงเหมือน FJR1300AE
  • อุ่นมือปรับได้ 10 ระดับ เหมาะกับหน้าหนาว อากาศเย็น
  • เพิ่มลายกราฟิกใหม่

 

 ทั้ง 2 รุ่นจะเริ่มจำหน่ายในยุโรปตั้งแต่ เดือนมีนาคม 2021 เป็นต้นไป ดังนั้นกว่าจะมาบ้านเราเร็วสุดก็กลางปีหน้า หรืออาจจะไปในช่วงปลายปีหน้าเลยก็เป็นได้ครับ ส่วนสนนราคาก็คิดว่าจะแพงกว่าราคาเดิมเล็กน้อยจากความจุที่เพิ่มมากขึ้น และอ็อปชั่นที่ดีกว่าเดิม

อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Yamaha คลิก

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Next Post

Honda Eco Mileage Challenge จุดพลังฝันเยาวชนไทยแข่งขันประหยัดเชื้อเพลิง

เอ.พี. ฮอนด้า เดินหน้าจัดแข่งขันรถประหยัดเชื้อเพลิ […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version