R1300GS อีกระดับของ GS ที่ BMW จัดให้

Admin Superbike

R1300GS อีกระดับของ GS ที่ BMW จัดให้

R1300GS-2024

เปิดตัวแล้วหลังจากมีภาพออกมาทั้งแบบตั้งใจและแบบหลุด ๆ รวมถึงข้อมูลหลุดต่าง ๆ อีกมากมาย แต่นี่คือข้อมูลแท้ ๆ ชัด ๆ ตรง ๆ กับ SuperBike Thailand กับ BMW R1300GS อีกระดับของ GS ที่ทางค่ายอัปเกรดและอยากให้เป็น ตอบโจทย์กว่าด้วยเครื่องยนต์ใหม่ที่สมรรถนะสูงขึ้น และช่วงล่างที่ดีขึ้นและน้ำหนักตัวรถที่เบากว่าเดิมอย่างมาก เพื่อสมรรถนะที่ดีขึ้นแบบรอบด้าน

R1300GS-2024

สำหรับคนที่ยังไม่รู้หรือเพิ่งเข้าวงการนั้น BMW Motorrad นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิดรถในเซ็กเมนต์ที่เรียกกันว่าทัวริ่งแอดเวนเจอร์มากกว่า 40 ปีแล้ว ด้วยโมเดลที่มีชื่อว่า R 80 G/S ซึ่งเจ้า GS ที่มาพร้อมขุมพลังแบบบ็อกเซอร์นั้นกลายเป็นผู้นำในเซ็กเมนต์นี้มานับตั้งแต่นั้น และเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำที่ว่าจึงได้มีการปรับปรุงอัปเกรดมาโดยตลอด จนกระทั่งมาเป็นโมเดลใหม่ล่าสุด ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าโมเดิลเดิมมากถึง 12 กิโลกรัมเลยทีเดียว 

เรื่องดีไซน์จะเห็นได้ว่ามีจุดเด่นใหม่ที่ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ LED ดีไซน์ไม่เหมือนใคร มีทั้งไฟสูงไฟต่ำ และไฟเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์อยู่ด้วยกัน พร้อมไฟเลี้ยวหน้าที่บิลต์อินอยู่ในการ์ดแฮนด์ ส่วนระบบไฟแบบ Headlight Pro ซึ่งจะทำให้ไฟหน้าเลี้ยวเบนไปส่องสว่างในโค้งตามองศาการเข้าโค้งนั้นจะต้องติดตั้งเพิ่มเติม อีกทั้งตัวรถยังมีดีไซน์ที่ให้ความรู้สึกว่าตัวรถมีความกระชับ มีความปราดเปรียวมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และด้วยถังน้ำมันอลูมิเนียมใหม่ที่แบนราบกว่าเดิม ทำให้ดูมีความสปอร์ตและลื่นไหลมากขึ้นอีกด้วย

ต่อกันที่เรื่องของขุมพลัง แน่นอนว่าหัวใจหลักยังคงเป็นเครื่องบ็อกเซอร์ที่มีดีไซน์ใหม่ให้เครื่องมีขนาดเล็กลงกว่าแต่ก่อน ด้วยการย้ายเกียร์บ็อกซ์ไปไว้ด้านใต้ของเครื่องและจัดวางเพลาข้อเหวี่ยงเสียใหม่ ซึ่งเจ้าเครื่องใหม่ขนาด 1300 ซีซีที่ว่านี้ให้กำลังแรงม้ามากถึง 145 แรงม้าที่ 7,750 รอบและแรงบิดสูงสุดถึง 149 นิวตันเมตรที่ 6,500 รอบ ทรงพลังกว่าที่ผ่าน ๆ มา และระบบชิฟต์แคมที่ทำให้จังหวะการทำงานของวาล์วแปรผันได้ตามความเหมาะสมกับรอบเครื่องยนต์

R1300GS-2024

นอกจากนี้ยังมีช่วงล่างใหม่ เริ่มต้นด้วยเมนเฟรมเหล็กกล้าที่ปรับปรุงมาขนานใหญ่เพื่อให้วางเครื่องได้เหมาะสมและให้ความแข็งแรงที่มากขึ้น ส่วนเฟรมท้ายจากเดิมที่เป็นท่อเหล็กถูกเปลี่ยนให้เป็นแบบอลูมิเนียมหล่อขึ้นรูป ทั้งยังมีระบบกันสะเทือนหน้าใหม่ที่เรียกว่า EVO Telelever ที่มาพร้อมชิ้นส่วนที่ยืดหยุ่นและระบบกันสะเทือนหลัง EVO Paralever ที่ช่วยให้การควบคุมที่แม่นยำและความเสถียรยอดเยี่ยม 

ส่วนเรื่องของระบบอิเล็กทรอนิกส์เองก็เพิ่มลูกเล่นมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอสี TFT ขนาด 6.5 นิ้ว โหมดการขับขี่ตอนนี้เป็น 4 โหมดแล้วนอกเหนือไป Rain, Road, Eco ตอนนี้เพิ่ม Enduro มาเป็นพื้นฐานเลยไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม มีระบบแอ็กทีฟครูซคอนโทรลซึ่งมาพร้อมระบบควบคุมระยะห่างในตัว ระบบเตือนก่อนชนด้านหน้าพร้อมระบบช่วยเบรกเพื่อป้องกันเหตุร้ายและลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ ระบบเตือนก่อนเปลี่ยนเลนโดยแจ้งเตือนที่กระจกมองหลัง ระบบเบรก ABS Pro ระบบควบคุมเอ็นจิ้นแดร็กทอร์คคอนโทรล ระบบไดนามิกเบรกคอนโทรล ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบไดนามิกแทร็คชันคอนโทรล 

ยังมีระบบช่วยในเรื่องของความสะดวกสบายอย่างชิลด์หน้าปรับไฟฟ้า กุญแจแบบคีย์เลส ฮีทกริป ช่องใส่สมาร์ทโฟนสำหรับชาร์จไฟโดยเฉพาะ และช่องจ่ายไฟแบบ 12 โวลต์แยกมาอีกต่างหาก ๆ เรียกว่าให้มาเยอะ ให้มาแน่น ๆ สมเป็นรุ่นเรือธง แต่อย่างไรก็ตามระบบบางอย่างที่ช่วยในเรื่องการขับขี่ในระดับสูงก็ยังต้องจำเป็นต้องติดตั้งและจ่ายเงินเพิ่มอยู่ดี

สุดท้ายนี้เรื่องของการจำหน่ายในบ้านเราก็น่าจะเป็นปีหน้ากันเลย ส่วนราคาบอกเลยว่าจะต้องแพงขึ้นอีกอย่างแน่นอน เพราะเรื่องของขนาดความจุของเครื่องยนต์ตลอดไปจนถึงเทคโนโลยีในตัวรถที่มากมายขึ้นอีกมาก 

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Next Post

ก้อง สมเกียรติ กับ 5 สถิติน่าทึ่ง ที่ Motegi ในศึก Moto2 2023

ก้อง สมเกียรติ กับ 5 สถิติน่าทึ่ง ที่ Motegi ในศึก […]

You May Like

Subscribe US Now