Aprilia Tuono V4 Factory ไฮเปอร์เน็กเก็ต สุดไฮเทค แรงขั้นแนวหน้า

Admin Superbike

Aprilia Tuono V4 Factory ไฮเปอร์เน็กเก็ต สุดไฮเทค แรงขั้นแนวหน้า

Aprilia Tuono V4 Factory

เปิดตัวกันไปแล้วในยุโรปกับ APRILIA TUONO V4 Factory ไฮเปอร์เน็กเก็ตระดับเรือธงจากค่ายเอพริเลีย ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีและความแรงระดับแนวหน้า มีอะไรใหม่ อะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันครับ

 

ดีไซน์ใหม่เน้นแอโรไดนามิก

พูดถึงเรื่องแอโรไดนามิกหรืออากาศพลศาสตร์เป็นอะไรที่บอกเลยว่าหาได้ยากมากๆ จากรถสไตล์เน็กเก็ด เพราะโดยทั่วไปรถเน็กเก็ดจะไม่มีแฟริ่งหรือชิลด์ด้านหน้าตัวรถ ทำให้เมื่อขับขี่ด้วยความเร็วสูงๆ ผู้ขับขี่จะต้องแบกรับปัญหาเรื่องความแรงลมปะทะจากด้านหน้า ทำให้เหนื่อยง่ายและทำความเร็วไม่ได้อย่างที่ควรเป็น

ทว่าเรื่องนี้ไม่ใช่กับเน็กเก็ดไบค์คันนี้ โดยเจ้าทูโอโนคันนี้มีดีไซน์ที่ปรับปรุงมาใหม่ โดยยังไม่ละทิ้งกลิ่นอายของทางค่าย มีความทันสมัย ดุดัน กะทัดรัดและให้ความรู้สึกสปอร์ตอย่างมาก 

มีแฟริ่งด้านบนยึดติดเข้ากับเฟรม ทำให้ช่วงล่างด้านหน้ารถนั้นไม่รับภาระน้ำหนัก ทำให้การควบคุมการขับขี่ตอบสนองได้แม่นยำ และยังป้องกันลมปะทะได้เป็นอย่างดีด้วย 

แน่นอนว่าโมเดลใหม่นี้ใช้การออกแบบแบบดับเบิ้ลแฟริ่ง แบบเดียวกันกับที่ใช้ใน RSV4 ซูเปอร์ไบค์รุ่นเรือธงของทางค่าย ที่ทำให้รถมีวิงก์เล็ตในตัว ช่วยในเรื่องของแอโรไดนามิกส์ สร้างแรงกด และตัดลมได้ดี เป็นเหตุผลให้โมเดลนี้มีสมรรถนะที่ดีและขับขี่ได้สบายกว่าที่ผ่านๆ มา โดยจะเพิ่มความนิ่งในย่านความเร็วสูง ขณะเดียวกันก็ป้องกันกระแสลมที่จะปะทะผู้ขับขี่ รวมถึงตัดลมร้อนออกจากตัวผู้ขับขี่

เอกลักษณ์สำคัญอย่างไฟหน้า 3 ตายังคงมีอยู่ โดยจะเป็นไฟแบบ LED เต็มระบบ และแน่นอนว่ามีเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์ด้วย โดยตรงตำแหน่งนี้เป็นไฟเลี้ยวในตัวด้วย ทำให้ไฟหน้ามีขนาดกะทัดรัด ช่วยให้ด้านหน้ารถไม่ใหญ่เทอะทะ ที่สำคัญคือมีเซ็นเซอร์ทไวไลท์ช่วยเปิดปิดไฟต่ำอัตโนมัติ พร้อมกับไฟกระพริบฉุกเฉินกรณีเบรกกะทันหันพร้อมยกเลิกเองอัตโนมัติ และสุดท้ายคือระบบเบนดิงไลท์ที่ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยเวลาเข้าโค้งในยามค่ำคืน

 

ออกแบบให้สบายมากยิ่งขึ้น

นอกจากเรื่องของแอโรไดนามิกแล้ว ยังมีการปรับปรุงในส่วนของเออร์โกโนมิกด้วย ซึ่งก็คือเรื่องของสรีระท่านั่งขับขี่นั่นเอง 

ตัวรถมีถังน้ำมันใหม่ ออกแบบให้ด้านข้างแคบลง แต่คงความจุไว้ที่ 18.5 ลิตรเท่าเดิม ทำให้หนีบถังได้กระชับมากขึ้น และช่วยลดภาระที่แขนและร่างกายท่อนบนเวลาเบรก เพราะเราสามารถใช้ขาหนีบถังช่วยผ่อนแรงกระทำได้นั่นเอง รวมถึงยังใช้พักขาเวลาเข้าโค้งได้ดีขึ้นอีกด้วย

ยังมีเบาะนั่งใหม่นั่งสบายมากขึ้น โดยออกแบบให้ยาวขึ้น และให้เหมาะกับนักบิดร่างโย่ง เมื่อรวมถึงระบบโช้คไฟฟ้าจาก Ohlins ก็ยิ่งทำให้การขับขี่นุ่มนวลมากขึ้น (เฉพาะรุ่น) 

และสำหรับรุ่นแฟคทอรี่ที่ออกแบบให้เน้นขับขี่ในสนาม ตัวรถจึงออกแบบให้ถอดส่วนที่ไม่สำคัญสำหรับขับขี่ในสนามออกได้อย่างง่ายดาย อาทิ กระจกมองข้าง พักเท้าคนซ้อน และแผงยึดป้ายทะเบียน 

 

แชสซีใหม่

หลักๆ แล้วเฟรมยังคงเป็นเฟรมอลูมิเนียมที่เด่นเรื่องความแข็งแรง แต่ขณะเดียวกันก็มีความยืดหยุ่น ซึ่งส่งผลให้สามารถจับฟีลลิ่งขับขี่ได้ดีและควบคุมได้ง่าย ที่ใหม่คือสวิงอาร์มใหม่ ที่ใช้หลักการออกแบบแบบเดียวกันกับเฟรม แต่มีคานเสริมแรงที่ต่ำลง และออกแบบให้มีความซับซ้อนน้อยลง ลดจุดเชื่อมจากเดิม 7 จุดเป็น 3 จุด โดยสวิงอาร์ใหม่นี้นี้มีความแข็งแรงในแนวขวางมากขึ้น 48% ช่วยเพิ่มการยึดเกาะให้กับรถได้

และสำหรับรุ่นท็อปในส่วนของช่วงล่างจะมาพร้อมโช้คไฟฟ้า Smart EC 2.0 จากทาง Ohlins โดยเลือกปรับได้ 2 โหมดคือ โหมดกึ่งอัตโนมัติ และโหมดแมนวล โดยในโหมดกึ่งอัตโนมัติมีให้เลือกใช้งานย่อยลงไปอีก 3 รูปแบบ คือ A1, A2 และ A3 โดย A1 สำหรับยางสลิกและขับขี่ในสนาม A2 สำหรับยางมีดอกกับแทร็กที่ไม่ค่อยดีนัก และ A3 สำหรับขี่ถนนทั่วไป 

ในโหมดแมนวลเองก็มีให้เลือกอีก 3 แบบ คือ M1, M2 และ M3 โดยจะต้องปรับเซ็ตค่าไว้ก่อน 

กันสะบัดไฟฟ้าเองก็มาจาก Ohlins และสามารถปรับการใช้งานผ่านระบบไฟฟ้าได้ด้วยเช่นกัน โดยสามารถใช้งานและตั้งค่าผ่านหน้าจอเรือนไมล์ TFT สีขนาด 5 นิ้วได้อย่างไม่ยากเย็นนัก 

ระบบเบรกนั้น ด้านหน้าเป็นคาลิเปอร์เบรก Brembo M50 ซึ่งเป็นที่รู้จักและนิยมใช้กันในรถพิกัดเรือธงกันทั้งนั้น แน่นอนว่าการันตีเรื่องประสิทธิภาพได้เป็นอย่างดี แม้จะไม่ถึงขั้นเทพสุดของโปรดักชันก็ตาม 

ส่วนยางนั้นก็จะให้เป็นยาง Pirelli Diablo Rosso III ที่สามารถขี่ถนนได้ยอดเยี่ยม ขี่แทร็กได้โอเค ติดรถมาจากโรงงานเลย ส่วนในรุ่นท็อปจะเป็น Pirelli Diablo Supercorsa

 


ขุมพลังแรงไม่เปลี่ยน

เป็นอีกเอกลักษณ์นึงของทางค่ายกับขุมพลังแบบ V4 65 องศาแบบแคบ ทำให้เครื่องยนต์นั้นมีขนาดกะทัดรัดกว่าค่ายอื่นๆ ช่วยให้รวมศูนย์น้ำหนักไว้กลางรถได้ดีกว่าดีไซน์อื่นๆ โดยจะมีขนาดความจุ 1,077 ซีซี โดยคราวนี้ถูกปรับจูนมาใหม่ได้รอบที่สูงขึ้นอีก 300 รอบเป็น 12,800 รอบ และด้วยระบบไอเสียใหม่ที่มีแคตแบบเซรามิคเมทริกซ์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือทนทานกว่าและมีความเฉื่อยทางความร้อนน้อยกว่า กล่าวคือร้อนจนถึงอุณหภูมิที่เหมาะสมได้ไวกว่า และช่วยลดไอเสียได้ดี ทำให้เครื่องผ่านมาตรฐาน Euro5 อีกทั้งยังเบากว่าเดิมด้วย 

ในส่วนของเครื่องยนต์ยังมีระบบ ECU ใหม่ เป็น Magneti Marelli ECU 11MP ที่ประมวลผลได้รวดเร็วมากกว่าเดิม 4 เท่า ซึ่งเป็นจุดนึงที่ช่วยให้เครื่องยนต์ยังแรงไม่ตก แต่ผ่านมาตรฐานไอเสียใหม่ได้ โดยเครื่องยังคงรีดแรงม้าได้ที่ 175 แรงม้าที่ 11,350 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 121 นิวตันเมตรที่ 9,000 รอบ 

 

ระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่

โดยทางค่ายจะใช้ชุดระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ที่เรียกว่า Aprilia Performance Ride Control หรือ APRC เจ็นใหม่ทันสมัยยิ่งขึ้น โดยจะทำงานร่วมกับคันเร่งไฟฟ้าและระบบ IMU พร้อมการประมวลผลการทำงานที่เร็วมากกว่าเดิมอีกด้วย ซึ่งช่วยให้ระบบทำงานได้ละเอียด แม่นยำ ฉับไว และสุดท้ายคือส่งผลให้ขับขี่ได้ดีและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

โดยระบบที่มีมาใหม่ก็จะเป็นระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก ซึ่งตอนนี้เป็นอิสระออกมาจากการปรับเลือกเอ็นจิ้นแม็ปแล้ว นอกจากนี้ระบบอื่นๆ ก็ยังมีอยู่อย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นแทร็คชันคอนโทรล ระบบป้องกันล้อลอยตัว เอ็นจิ้นแม็ป 3 แบบ ระบบช่วยออกตัว ระบบควิกชิฟเตอร์แบบ 2 ทาง ระบบควบคุมความเร็วในพิท ระบบครูซคอนโทรล และระบบเบรก ABS แบบใช้งานในโค้ง 3 ระดับ 

นอกจากนี้ยังมีโหมดการขับขี่ที่หลากหลาย ที่เพียงแค่กดเลือก ตัวรถก็จะตั้งค่าระบบต่างๆ ให้เหมาะสมเอง โดยแบ่งเป็นโหมดสำหรับขี่ถนน 3 โหมด ได้แก่ Tour, Sport และ User (ตั้งค่าเอง) และขี่แทร็กอีก 3 โหมด ได้แก่ Track 1 และ Track 2 ซึ่งสามารถปรับค่าต่างๆ ได้เอง ให้เหมาะกับการขับขี่มากยิ่งขึ้น 

โดยสามารถปรับเปลี่ยนได้เองผ่านปุ่มควบคุมที่แฮนด์บาร์ที่ออกแบบมาใหม่ ใช้งานง่ายยิ่งขึ้น 

 

ท้ายสุดเรื่องของรุ่นย่อยและสีสัน

สำหรับโมเดลสแตนดาร์ดนั้นจะมาในสีเทา Tarmac Grey ที่มีพื้นหลักเป็นสีเทาและตัดด้วยสีดำดูลงตัว และ สีขาว Glacier White เด่นด้วยสีขาวดูหรูหรา และสำหรับรุ่น Factory จะเด่นด้วยออปชันโช้คไฟฟ้าจาก Ohlins (โมเดลธรรมดาจะเป็นโช้ค Sachs) โดยจะมีให้เลือกเฉดสีเดียวคือ สีดำแดง Aprilia Black เป็นสีดำตัดด้วยสีแดง โดดเด่นสไตล์สปอร์ตเรซซิ่ง 

ส่วนสนนราคาก็น่าจะสุดด้วยเช่นกัน หากประเมินเทียบจาก RSV4 1100 รุ่นปัจจุบันซึ่งใกล้เคียงกัน ที่ตั้งราคาค่าตัวที่ 949,999 บาท และรุ่นท็อปนั้นอยู่ที่ 1,149,999 บาท โมเดลใหม่นี้ก็น่าจะทะลุล้านในตัวเริ่มต้น และรุ่นท็อปก็น่าจะกระโดดไปไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านอย่างแน่นอน 

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

 

Next Post

KTM 890 Duke Tech3 Edition แรงด้วยชุดของแต่งพิเศษ

KTM 890 Duke Tech3 Edition แรงด้วยชุดของแต่งพิเศษ […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version