Aprilia Tuareg 660 สายลุยไซส์กลางจากค่ายสามตา มีอะไรน่าสนใจ
เข้าเรื่องการออกแบบและดีไซน์กันก่อนเลย สำหรับการออกแบบนั้นเจ้าสามตาสายลุยคันนี้มีทีมออกแบบจากทาง Piaggio Advance Design Center ที่ตั้งอยู่ที่คาลิฟอร์เนียออกแบบให้ โดยเน้นไปที่สไตล์ที่โดดเด่นและมีความลงตัวของเทคโนโลยีและเน้นการใช้งานได้จริง แต่ก็มีในส่วนของกราฟิกและโลโก้ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก Tuareg 600 Wind ปี 1988
ชิลด์หน้าของรถทำจากวัสดุเพล็กซีกลาสขนาดใหญ่ปรับระดับได้ มีความแข็งแรงและให้ทัศนวิสัยที่ดี ไฟหน้ายังคงเอกลักษณ์ตามแบบของทางแบรนด์นั่นคือเป็นไฟหน้าแบบ 3 โคม พร้อมไฟเดย์ไทม์รันนิงไลท์ในตัว โดยไฟส่องสว่างทั้งหมดจะเป็นแบบ LED เต็มระบบ
ตัวรถยังมีจุดที่ดูแปลกตาอีกหลายจุดที่ทำให้แตกต่างจากสายลุยทั่วไป ตรงที่ตัวรถด้านหน้าส่วนข้างจะใช้รูปแบบดับเบิลแฟริ่ง ซึ่งมีลักษณะเป็นแฟริ่งซ้อนกันสองชั้นทำหน้าที่ช่วยในเรื่องของแอโรไดนามิก ซึ่งจะส่งผลดีต่อสมรรถนะของรถและความสบายเวลาขับขี่ไปพร้อมๆ กัน
นอกจากนี้ตัวรถด้านท้ายเองก็ไม่มีแฟริ่งด้านล่างบริเวณใต้เบาะนั่ง เผยให้เห็นซับเฟรมและเฟรมบางส่วนให้กลิ่นอายคล้ายรถสไตล์เน็กเก็ด แต่ยังมีแฟริ่งที่สามารถถอดออกได้เวลาที่จะติดกล่องข้างสำหรับขนสัมภาระเพิ่มเติม
ไม่เพียงแต่คำนึงถึงเรื่องความสวยงาม ทาง Aprilia ยังคำนึงถึงเรื่องความสบายและการขับขี่ที่ดี โดยออกแบบรถให้มีการยศาสตร์ที่ดี ทางค่ายเลือกที่จะใช้เครื่องยนต์บล็อกนี้เพื่อให้ดีไซเนอร์นั้นสามารถที่จะออกแบบรถที่มีระยะห่างจากตัวรถถึงพื้นที่เหมาะสมกับการขับขี่แบบสมบุกสมบัน ขณะเดียวกันก็ไม่ทำให้ผู้ขับขี่ร่างเล็กลำบากเกินไป ตัวรถถูกออกแบบให้มีซับเฟรมที่ต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อให้เบาะนั่งนั้นต่ำ และยังออกแบบให้ท้ายเพรียวเพื่อให้ได้รถที่เพรียวบางและกระชับ โดยเฉพาะส่วนที่ขาของผู้ขับขี่จะต้องสัมผัส โดยเฉพาะถังน้ำมันที่แม้ว่าจะใหญ่ถึง 18 ลิตรที่ช่วยให้วิ่งได้ไกลมากถึง 450 กม. แต่ก็ยังเพรียวบางสมส่วน
ตำแหน่งท่านั่งของผู้ขับขี่เองก็ออกแบบมาให้ขับขี่ได้สบายเวลาเดินทางไกล พักเท้าถูกวางให้ตำแหน่งการวางเท้าไปด้านหลังเพียงเล็กน้อย มีแฮนด์บาร์กว้างและยกสูงช่วยให้ควบคุมรถและจับอาการของรถได้ดี เบาะนั่งเองก็มีความยาวและนั่งได้สบายทั้งคนขี่และคนซ้อนรวมไปถึงมือจับคนซ้อนเองก็มาให้โดยเป็นดีไซน์แบบบิลต์อิน
ตัวรถบริเวณกลางลำตัวยังออกแบบมาให้มีความสลิมเพื่อให้ขับขี่ควบคุมในท่ายืนขี่ได้ดี ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเวลาขับขี่บนทางฝุ่น ขณะเดียวกันตัวรถก็มีน้ำหนักเพียง 204 กก. ซึ่งสำหรับรถแอดเวนเจอร์พิกัดนี้ถือว่าน้ำหนักดีเลยทีเดียว
ขุมพลังของรถนั้นจะเป็นเครื่องสองสูบเรียง 659 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ที่ผ่านมาตรฐาน Euro5 แล้ว โดยมีการปรับอัตราทดเกียร์ใหม่ให้เข้ากับโมเดลนี้โดยตรง ไม่ใช่ยกมาวางเฉย ๆ มีการลดฟันของสเตอร์หน้าลงเหลือ 15 ฟันจากเดิม 17 ฟันจากพี่น้องสายสปอร์ต นอกจากนี้ยังมีการปรับอีกหลายจุดเพื่อให้เหมาะสมกับการเป็นแอดเวนเจอร์ไบค์มากขึ้นอีกด้วย อาทิ ปรับการทำงานของวาล์ว ปรับเปลี่ยนท่อไอดีและเคสของกรองอากาศ รวมถึงระบบไอเสียใหม่ เพื่อให้ได้แรงบิดที่ดีขึ้นในรอบต่ำและรอบกลาง
ผลที่ได้คือเครื่องยนต์มีแรงม้าสูงสุดที่ 80 แรงม้าที่ 9,250 รอบและแรงบิดสูงสุดที่ 70 นิวัตนเมตรที่ 6,500 รอบ ซึ่งปกติจะต้องเป็น 8,500 รอบ และมีแรงบิดมากถึง 75% ตั้งแต่ในรอบต่ำเพียง 3,000 รอบเท่านั้น
ช่วงล่างของรถนั้นก็ถือว่าเป็นการยกระดับมาตรฐานของแอดเวนเจอร์ไบค์ในระดับกลาง หลายคนอาจจะคิดว่าใช้พื้นฐานเดียวกันกับ RS660 หรือ Tuono แต่จริง ๆ แล้วแชสซีนั้นออกแบบใหม่โดยมุ่งให้ใช้ในรูปแบบของเฮฟวีดิวตี้หรือใช้งานหนัก สำหรับขับขี่แบบสมบุกสมบันนั่นเอง ตัวเฟรมนั้นใช้แบบท่อเหล็กความแข็งแรงสูงและแผ่นเพลตเสริมความแข็งแรง เพื่อให้ตัวรถแข็งแรงซับเฟรมเองก็เชื่อมเข้ากับเมนเฟรมทำให้รับน้ำหนักได้มากถึง 210 กก. ทำให้แทบจะไม่เกี่ยงงอนเรื่องสัมภาระและคนซ้อน
ขณะที่ล้อนั้นจะเป็นล้อหน้าซี่ลวดแบบทูบเลสขนาด 21 นิ้วและล้อหลัง 18 นิ้วตามลำดับ ซึ่งทางค่ายให้ยางแบบกึ่งจากแบรนด์ชั้นนำอย่าง Pirelli Scorpion Rally STR มาซึ่งใช้งานได้ดีทั้งทางฝุ่นและกระทั่งทางดำ ก็เรียกว่าสามารถใช้งานในรูปแบบแอดเวนเจอร์ได้ดีอย่างแน่นอน
มาถึงส่วนของระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ กันบ้าง ซึ่งทางค่ายจัดมาเป็นชุดกับระบบ APRC ซึ่งย่อมาจาก Aprilia Performance Ride Control ก็เต็มไปด้วยระบบต่าง ๆ มากมาย โดยจะเป็นระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับปรุงมาเพื่อโมเดลนี้โดยเฉพาะ ได้แก่ ระบบแทร็คชันคอนโทรล 4 ระดับและปิดได้ ระบบครูซคอนโทรล ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก 3 ระดับ ระบบคันเร่งไฟฟ้าและเอ็นจิ้นแม็พอีก 3 รูปแบบ โหมดการขับขี่ 4 โหมด สำหรับการขับขี่ในรูปแบบต่าง ๆ กัน
ตัวรถเลือกใช้หน้าจอแสดงผลสีแบบ TFT ขนาด 5 นิ้ว พร้อมเซ็นเซอร์ปรับความสว่างหน้าจอตามสภาพแสงแวดล้อมอัตโนมัติ ทั้งนี้หากต้องการใช้งานระบบมัลติมีเดียหรือเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน อันนี้ต้องติดตั้งเพิ่มเติม ไม่ได้เป็นพื้นฐานติดรถมาแต่แรก
สุดท้ายนี้ตัวรถจะวางจำหน่าย 3 เฉดสีด้วยกัน ได้แก่ สีเหลือง Acid Gold, สีแดงดำ Martian Red และสีน้ำเงิน ขาวและแดง Indaco Tagelmust ซึ่งจะเป็นสีให้เกียรติต้นกำเนิดของตระกูล Tuareg
ส่วนในประเทศไทยนั้นจะมีมาจำหน่ายหรือไม่ ในความเห็นผมคิดว่าเป็นไปได้ยากเลยทีเดียวสำหรับแบรนด์นี้ ถ้านำเข้ามาก็อาจจะมีปัญหาเรื่องราคาที่น่าจะสูง และอาจจะทำยอดขายได้ไม่ดีนัก อย่างไรก็ดีก็ถือว่าเป็นโมเดลที่น่าสนใจและเป็นคู่แข่งตัวเอ้ของ Tenere 700 เป็นแน่แท้ ซึ่งทางยามาฮ่าก็ประสบความสำเร็จกับโมเดลนี้ไปแล้ว ก็ต้องมาดูกันว่าหลังจากยุโรปวางขายแล้วยอดขายจะสู้เจ้า T7 ได้มั้ยครับ
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก