ย้อนกลับไปช่วงต้นทศวรรษ 1990 วงการมอเตอร์ไบค์นั้นสับสนวุ่นวายไปหมดเมื่อศิลปินผู้ขวางโลก วิศวกร แฟชั่นดีไซเนอร์และนักพัฒนาสินทรัพย์ต่างมุ่งหน้าไปที่งานไบค์วีคที่จัดขึ้นที่สนาม Daytona International Speedway เพื่อที่จะลงแข่งในศึก Battle of The Twins งานแข่งยอดนิยมด้วยมอเตอร์ไบค์ที่ทำขึ้นเองและดูแปลกตาที่มีชื่อว่า Britten
ที่เกาะ South Island ที่เย็นสบายของนิวซีแลนด์ห่างไกลจากความศิวิไลซ์ในตอนนี้ได้มีชื่อขึ้นมาจากผลงานของอัฉริยะจักรกลผู้แปลกประหลาด Richard Pearse เกษตรกรแดนกีวี่ออกบินได้ก่อนที่สองพี่น้องตระกูลไรท์จะบินได้ในปี 1903 ซะอีก ด้วยการใช้เครื่องบินทำเองที่ใช้เครื่องยนต์ที่เขาสร้างขึ้นเอง เป็นเครื่องยนต์สี่สูบแบบมีกระบอกสูบคู่ที่ปลายทั้งสองข้างซึ่งทำมาจากท่อน้ำเหล็กหล่อ ในปี 1920 Burt Bunro ชาวเกาะแห่งนี้ได้ซื้อมอเตอร์ไบค์แบรนด์ Indian ไปหนึ่งคันและพัฒนามันอย่างต่อเนื่องนับสิบปี จนกระทั่งเขาอายุ 63 ปีและสามารถขี่และทำความเร็วได้ถึง 305.9 กม./ชม. ที่ Bonneville Salt Flats ในปี 1967 และล่าสุดดีไซนเนอร์อิสระและวิศวกรก็ปรากฏตัวที่นิวซีแลนด์ แต่ครั้งนี้เขาผั้นี้มีผลกระทบกับเทคโนโลยีในวงการแข่งมอเตอร์ไบค์เป็นอย่างมาก เขาก็คือ John Britten ผู้ซึ่งใช้เวลาไม่กี่ปีสร้างรถแข่งโดยใช้ชื่อของเขาเอง ซึ่งในตอนนั้นรถของเขานั้นเร็วกว่าและควบคุมได้ดีกว่ารถจากค่ายอื่นๆ ทุกค่ายซะอีก ถ้านับรถต้นแบบของเขานั้นจะได้นับได้แค่ 10 – 11 คันเท่านั้น Britten เพิ่งจะสร้างขึ้นได้ไม่นานก็สามารถปราบรถจากทีมที่มีโรงงานสนับสนุนได้อย่างราบคาบจากการแข่งขันในสนามแข่งในยุโรป ออสเตรเลียและอเมริกา Britten ยังทำสถิติความเร็วในรุ่น 1,000 ซีซีในปี 1994 ไว้อีกด้วย และ 1 หรือ 2 สัปดาห์หลังจากนั้น John Britten ก็เสียชีวิตจากโรคมะเร็งเมื่ออายุได้ 45 ปีในปี 1995 Andrew Stroud แชมป์หลายสมัยชาวกีวี่ได้สานต่อในการแข่งขันที่ไม่ทำธรรมดาอย่าง World B.E.A.R.S. (British European American Racing Series) โดยใช้ Britten อีกคันคว้าที่ 2 มาได้ Britten เคยอธิบายตัวเขาเองไว้ว่า “เป็นอดีตนักแข่งที่ไม่ได้เก่งกาจอะไร เหมือนกับนักไวโอลินที่ไม่ได้โด่งดังยิ่งใหญ่แต่ไวโอลิน Stradivarius ที่ยอดเยี่ยมเป็นของตัวเอง” ไวโอลินของเขาขับกล่อมเพลงได้ไพเราะ เช่นเดียวกับ Britten ที่สามารถชนะการแข่งในศึก Battle of the Twins และ B.E.A.R.S.ไ ด้หลายครั้งซึ่งจัดขึ้นในอเมริกาและยุโรป น้ำหนักของรถอยู่ที่ 135 กก.และน่าจะรีดแรงม้าได้มากถึง 165 ตัวซึ่งถือว่ามันเร็วแบบสุดๆ เลยสำหรับเมื่อ 20 ปีก่อน และยังเร็วกว่ารถบางคันในสมัยนี้อีกด้วย
รถแข่งของ Britten แค่นับจากรถต้นแบบที่มันดูสมเหตุสมผลหน่อยก็ยังดูแตกต่างจากรถทั่วๆ ไปที่เราเคยเห็นมาซะอีก Britten ได้มีการใช้ชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์และเคฟลาร์จำนวนมาก เครื่องยนต์นั้นเขาก็ออกแบบและผลิตขึ้นเอง โดยใช้เครื่องยนต์เป็นส่วนนึงของแชสซีแบบโมโนค็อกคาร์บอนไฟเบอร์เพื่อช่วยรับแรงเครียด นักแข่งจะนั่งอยู่บนคานรับน้ำหนักคาร์บอนไฟเบอร์ที่ยึดไว้ที่ด้านบนของเครื่องยนต์ ในขณะที่โช้คหลังนั้นยึดไว้ใต้โช้คหน้าที่อยู่ด้านหน้าของเครื่องยนต์และเชื่อมติดเข้ากับสวิงอาร์มผ่านชุดกระเดื่อง Britten ไม่ได้ต้องการปิดบังเครื่องยนต์ของเขาไว้ด้วยแฟริ่งมากมาย ดังนั้นมันก็เลยไม่มีแฟริ่งด้านข้าง แผงหมอน้ำตั้งอยู่ใต้เบาะโดยมีท่อดักลมที่ด้านหน้าของรถป้อนอากาศเย็นให้ผ่านทางถังน้ำมันปลอม โช้คหน้าเลือกใช้โช้คแบบ double-wishbone girder ซึ่งเป็นของเขาทำเองและทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์ซึ่งนำมาใช้แทนที่โช้คแบบเทเลสโคปิคทั่วๆ ไปที่ติดอยู่ด้านหน้าของเครื่องยนต์ ในขณะเดียวกันถังน้ำมันจริงก็อยู่ใกล้กับแผงหม้อน้ำใต้เบาะ สวิงอาร์มและล้อก็ทำขึ้นจากคาร์บอนไฟเบอร์น้ำหนักเบาด้วยเช่นกัน ส่วนแชสซีก็ทำขึ้นจากชิ้นส่วน 26 ชิ้นยึดติดเข้าด้วยกันโดยมีน้ำหนักแค่เพียง 12 กก.เท่านั้น
Britten เริ่มต้นสร้างความฝันของเขาด้วยการใช้รถ Ducati ของเขาลงแข่งในปี 1986 แต่ต่อมาก็ได้ย้ายมายังนิวซีแลนด์และได้ใช้เครื่องยนต์แบบวีทวินของ Denco มาวางลงบนแชสซีที่เขาทำขึ้นเอง เมื่อทดลองแล้วพบว่ามันไม่เวิร์คเขาจึงตัดสินใจที่จะสร้างมอเตอร์ไบค์ของเขาขึ้นเองทั้งคัน และนั่นหมายความว่าเขาต้องสร้างเครื่องยนต์ของเขาขึ้นเองด้วย ซึ่งเครื่องยนต์ที่เขาทำเป็นเครื่องยนต์วีทวินแบบ 60 องศาขนาด 1,000 ซีซีที่ธรรมดาๆ ใช้เพลาข้อเหวี่ยงที่กลึงจากเหล็กกล้า ซึ่งต่อมา Britten มอบหน้าที่นี้ให้ Crower เขาหล่อห้องข้อเหวี่ยงและใช้ปลอกสูบแบบเปียก ส่วนลูกสูบนั้นผลิตโดย Omega ให้ตรงตามสเป็กที่เขาต้องการ ก้านสูบเป็นไทเทเนียมก็สั่งทำเช่นกัน และเกียร์บ็อกซ์ 5 สปีดมาจาก Suzuki นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชั่น 1,100 ซีซีอีก 2 เวอร์ชั่น แต่ส่วนใหญ่จาก Britten ทั้งหมด 11 รุ่นเป็นเครื่อง 1,000 ซีซี เบรคและโช้คนั้นใช้ Brembo และ Ohlins เท่านั้น Britten ใช้หัวฉีดไฟฟ้าในรถของเขาอีกด้วยซึ่งเขาพัฒนาซอฟต์แวร์ด้วยตัวเอง ตลอดจนถึงโปรแกรมค่าต่างๆ ไว้ในรถทุกคันอีกด้วย
มีการเข้าใจผิดว่า John Britten สร้างรถของเขาภายในโรงรถของเขาที่อยู่ในเมือง Christchurch เองและเรื่องนั้นน่าจะเลิกเชื่อกันได้แล้ว เขาใช้ประโยชน์จากเพื่อนๆ และคนรู้จักของเขา และเป็นคนที่หัวหน้างานที่เคี่ยว ดังนั้นก็เลยมักจะมีการโต้เถียงเกิดขึ้นอยู่เสมอ จนบางคนเดินจากเขาไปและคนอื่นก็เดินเข้ามาร่วมมือกับเขา แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาคือคนที่มาพร้อมวิสัยทัศน์ ในปี 1992 หลังจากที่เขาได้สร้างมอเตอร์ไบค์สองคันแรกที่บ้านของเขาเสร็จ เขาก็ก่อตั้งบริษัท Britten Motorcycle ขึ้นและทำงานโดยใช้บ้านของเขาเองเป็นเวิร์คช็อป และต่อมาก็มาตั้งบริษัทใน Central Christchurch พร้อมกับกลุ่มคนงานรับจ้าง
Britten ได้นำรถคันแรกของเขาไปที่เมือง Daytona ซึ่งแข่งจบได้ที่ 3 และคว้าที่ 2 ในศึก American Battle of the Twins ในปี 1991 และ 1992 ในปีที่ 2 นั้นมี Stroud เป็นคนควบและรถก็เกือบจะเอาชนะ Ducati ที่มี Pascal Picotte แต่ทว่าแบตเตอรี่กลับมาเสียซะก่อนในช่วงสเตจสุดท้ายของการแข่งขณะที่รถของ Britten กำลังนำอยู่ห่างๆ ซะอย่างนั้น ทำไมน่ะเหรอ? การแข่งขันนั้นต้องหยุดลงชั่วคราวเนื่องจากฝนตกและมีใครบางคนลืมที่จะดับเครื่องรถของ Britten ระหว่างพักน่ะสิ ต่อมาในปีเดียวกันนี้ที่ Assen ทีมก็ทำทุกอย่างได้ดีไม่มีผิดพลาดอีก และ Stroud ที่ควบรถของ Britten ก็ชนะการแข่งรอบ BOTT ที่นั่นจนได้และคว้าอันดับที่ 2 ในการแข่ง Pro Twins ที่สนาม Laguna Seca อีก จนกระทั่งเข้ามาถึงระดับนานาชาติ และทุกๆ คนต่างก็รู้สึกได้ถึงพวกเขา ไม่มีการแข่งขัน BOTT ที่ Daytona ในปี 1993 แต่ Stroud และรถสัญชาติกีวี่ค่ายนี้ก็กลับมาอีกในปี 1994 เพื่อคว้าชัยชนะอันดับหนึ่งจากหลายๆ สนามที่มีชื่อในอเมริกา Stroud นั้นเอาชนะการแข่งขันทั้ง 2 รายการได้ด้วยการทำความเร็วสูงสุดจนกระทั่งไปถึงที่ 305 กม./ชม. เพื่อเน้นยำเป้าหมายของพวกเขา ทีมเล็กๆ ของพวกเขาคว้าชัยชนะที่ Daytona อีกในปี 1996 จนถึง 1998 และก็เหมือนกับ James Dean ครับ John Britten นั้นมีเชื่อเสียงจริงๆ ก็ตอนที่เขาจากโลกนี้ไปแล้ว
เมื่อปีที่แล้วที่งาน Barber Vintage Festival มีรถของ Britten มาแสดงโชว์ถึง 9 คันด้วยกัน และหนึ่งในนั้นเป็นของอัจฉริยะยานยนต์อีกคนที่ชอบคาร์บอนไฟเบอร์ เขาก็คือ Gary Turner ชาวแอฟริกาใต้ซึ่งเป็นผู้ดูและ Blackstone TEK ใน Gauteng ซึ่งผลิตและจัดจำหน่ายล้อคุณภาพสูงอย่าง BST และชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์อื่นๆ ให้กับทีมแข่งชั้นนำและส่งจำหน่ายทั่วโลก Gary นั้นเคยอยู่ที่เนเธอร์แลนด์มาหลายปีในช่วงทศวรรษ 1990 และลงแข่งให้กับทีมแข่งในรุ่น Supersport 600 ซีซีและรายการ Supermono ที่ใช้รถแข่งสูบเดียว “ผมช่วยจ่ายเงินให้ทีมแข่งของผมโดยเปิดบริษัทที่ชื่อว่า Pro Carbon ซึ่งจะผลิตและขายชิ้นส่วนคาร์บอนไฟเบอร์ให้กับ Joe Average” เขาบอกผม “ผมเคยเจอเข้ากับ John ช่วงนึงที่สนามแข่งในยุโรป และผมรู้จักเขาแค่นั้น แต่เขาเป็นคนเก่งมากครับ เขามักจะขดตัวอยู่กับการทำรถของเขา เราก็เลยไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก เขามักจะยุ่งอยู่เสมอ เขาเช็ดมือของเขากับกางเกงยีนส์เพราะเขามักจะง่วนอยู่กับการทำอะไรบางอย่าง เราในฐานะ Pro Carbon อยู่ท่ามกลางคู่แข่งรายใหญ่หลายรายในเนเธอร์แลนด์ และ John ก็อยู่ที่นั่นเสมอ ถ้าเขาไม่ได้ที่หนึ่งเขาก็อยู่ที่สองครับ”
แล้วอะไรที่ทำให้ Britten พิเศษ? “มันเป็นเรื่องของเวลาและสถานที่ครับ” Gary บอกกับเรา “มันพิเศษเพราะเขาสร้างเครื่องยนต์เอง เขาไม่ได้ใช้เครื่องยนต์ของคนอื่น แต่เขาสร้างขึ้นเอง รถที่สุดยอดเมื่อ 50 ปีที่แล้วทั้งหมดเป็นเครื่องยนต์ 4 จังหวะที่ออกแบบมาเพื่อแข่งโดยเฉพาะ และ Britten ก็ได้สร้างรถแข่งแท้ๆ ที่คนทั่วไปสามารถหาซื้อได้ รถแข่ง WSBK ทุกคันนั้นพัฒนาขึ้นจากโร้ดไบค์ธรรมดา และรถแข่ง MotoGP นั้นคนธรรมดาไม่สามารถซื้อได้ รถแข่ง Ducati Supermono และ Harley-Davidson VR1000 เองก็เป็นรถแข่งขนานแท้ทั้งคู่ที่มาเติมช่องว่างเหล่านั้น แต่มันไม่มีอะไรมากกว่านั้นอีกแล้ว”
แล้ว Gary ได้ Britten มาได้ยังไง? “หลังจากที่ John ตาย ผมได้ข่าวว่ามีรถคันนึงเหลืออยู่คันนึงอยู่ในนิวซีแลนด์ ดังนั้นผมก็เลยไปที่นั่นและซื้อมันมาเมื่อปี 1998 ผมไปแข่งที่ Daytona ในปี 1999 แต่พลาดท่าขาหักก่อนที่ผมจะให้ Lex van Dijk ควบมันแข่งในรายการ Sound of Thunder (เดิมชื่อ B.E.A.R.S.)” และนักแข่งเนเธอร์แลนด์ก็ชนะ “เท่าที่ผมรู้รถของผมคือรถคันเดียวที่เจ้าของไม่ใช่คนอเมริกัน ณ ตอนนั้น นอกจากนี้ผมยังมีชิ้นส่วนของ Britten มากกว่าด้วย”
โชคดีจริงๆ ครับ! ทุกวันนี้หากคุณสามารถหาซื้อ Britten ได้มันอาจจะแพงราวๆ บ้านดีๆ หลังนึงในทำเลดีๆ เลยล่ะครับ
ติดตามข่าวสาร Facebook SuperBike คลิกทีนี้
อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้