รีวิว Lambretta G350 หรูหรา พรีเมียม ระดับท็อป

Admin Superbike

รีวิว Lambretta G350 หรูหรา พรีเมียม ระดับท็อป

รีวิว Lambretta G350

พึ่งเปิดตัวไปหมาด ๆ เมื่อปีที่แล้ว กับ Lambretta G350 สกู๊ตเตอร์ระดับตำนานจากค่ายอิตาลี และเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่แลมเบรตต้า ไทยแลนด์ ได้นำเข้ามาจำหน่ายในไทยเป็นที่เรียบร้อย และครั้งนี้พวกเรา SuperBike Thailand ได้มีโอกาสมารีวิว ทดสอบขับขี่ Lambretta G350 พรีเมียมสกู๊ตเตอร์รุ่นท็อปสุดจากทางค่าย เดี๋ยวไปดูกันว่า ตัวรถจะมีรายละเอียดอะไรที่เป็นความพิเศษ และการรีวิวครั้งนี้จะเป็นอย่างไรบ้างเดี๋ยวไปดูกัน

แต่ก่อนอื่นเลย เราขอพามาทำย้อนอดีตไปดูต้นกำเนิดและความเป็นมาของ “Lambretta” แบรนด์สกู๊ตเตอร์เก่าแก่อันโด่งดังจากอิตาลี ซึ่งผมเชื่อว่าไบค์เกอร์หลาย ๆ คนอาจจะคุ้นเคยดีอยู่แล้ว และเชื่อว่ามือใหม่หรือผู้อ่านหลาย ๆ คนคงยังไม่รู้จักเช่นกัน สำหรับคำว่า “Lambretta” มีต้นกำเนิดมาจากแม่น้ำแลมโบร (Lambro) ที่ไหลผ่านทางด้านตะวันออกของเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี ซึ่งก่อตั้งโดย Ferdinando Innocenti เจ้าของธุรกิจโรงงานผลิตชิ้นส่วนเครื่องบินรายใหญ่ในยุคสมัยนั้น

แต่เนื่องด้วยผลกระทบจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้โรงงานเกิดระเบิดเสียหาย แต่อย่างไรก็ดี Ferdinando Innocenti เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส มีความคิดริเริ่มในการสร้างยานพาหนะจากชิ้นส่วนเครื่องบินที่ยังหลงเหลืออยู่ และจ้างวิศวกรฝีมือดีอย่าง Cesare Pallavicino และ Pier Luigi Torre ที่เคยออกแบบเครื่องบินมาแล้วมากมาย มาร่วมออกแบบ พัฒนาโครงสร้าง จนเกิดเป็นรถสกู๊ตเตอร์ Lambretta ที่ถือกำเนิดขึ้นในปี ค.ศ. 1947 เป็นต้นมา

ซึ่งนับจากตอนนั้นถึงปัจจุบัน แบรนด์ Lambretta มีอายุมาอย่างยาวนานถึง 76 ปี และได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะช่วงยุค 60s ที่ประเทศอังกฤษ กับความสง่างามผสมผสานความคลาสสิกของรถแลมเบรตต้า สามารถหล่อหลอมเข้ากับวัฒนธรรมกลุ่มคนหัวสมัยใหม่ในยุคนั้นได้

โดยกลุ่มดังกล่าว เรียกตัวเองว่า Mods (ม็อด) ซึ่งเป็นกลุ่มวัยรุ่นที่ชื่นชอบ หลงใหลในงานศิลปะ ดนตรี และมีคาแรคเตอร์เป็นของตัวเอง รวมไปถึงแฟชันการแต่งตัวให้เข้ากับความคลาสสิกในยุคสมัยนั้น ทั้งการแต่งกายสะอาด เนี๊ยบ ในสไตล์อิตาเลียน พร้อมสัญลักษณ์ธงยูเนียนแจ็ค กับเป้าธนู ที่แจ็คเก็ต ซึ่งหากใครยังนึกไม่ออกแฟชันในยุคสมัยนั้นละก็ ให้ลองนึกถึงวง The Beatles ดูสิครับ

โดยกลุ่ม Mods ในสมัยนั้นยังชื่นชอบทำกิจกรรมแหวกแนวและสุดโต่ง เหมือนกับวัยรุ่นบ้านเรานั่นแหล่ะครับ และอีกหนึ่งเหตุผลที่ชาวม็อดชอบแต่งรถตัวเองด้วยโคมไฟมากมาย นั้นก็เพราะกฎหมายของอังกฤษที่บังคับให้ยานพาหนะสองล้อ ต้องติดกระจกข้างอย่างน้อยหนึ่งอัน ดั้งนั้น ชาวม็อด จึงประชดประชันด้วยการใส่กระจก รวมไปถึงไฟที่ติดหลาย ๆ ดวงหน้ารถอีกด้วย

โดยปัจจุบันแบรนด์ Lambretta ถือว่าเป็นค่ายรถสกู๊ตเตอร์อันดับต้น ๆ ที่ขึ้นชื่อในความเป็นพรีเมียมสกู๊ตเตอร์ มีดีไซน์เฉพาะตัว มีความแตกต่าง โดดเด่น ไม่ซ้ำใคร แถมยังมิกซ์กับสายแฟชันแบบไร้ขีดจำกัด และมีสาขาตัวแทนจำหน่ายทั่วทุกทวีป ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยเอง ก็ได้นำโมเดลเข้ามาจำหน่ายถึง 3 คลาสด้วยกัน ซึ่งมีทั้งรหัส V, X และ G

สำหรับโมเดล Lambretta G350 เป็นสกู๊ตเตอร์รุ่นท็อปสุดจากทางค่าย เปิดตัวมาพร้อมกับ Lambretta X300 ในงาน Milan Design Week 2022 ณ เมืองมิลาน ประเทศอิตาลี มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ยังคงยึด DNA แห่งความเป็นแลมเบรตต้าในสมัยก่อน แต่ยังคงแตกต่างด้วยสไตล์และคาแรคเตอร์ที่ตอบโจทย์ผู้ขับขี่ โดยโมเดล X300 มาในสไตล์รถโมเดิร์นคลาสสิก ผสมผสานความสปอร์ตและทันสมัย ให้ฟีลลิ่งขับขี่สนุก ส่วนรุ่น G350 จะยังคงความคลาสสิกตามฉบับดั้งเดิม โดยตัวรถให้ความหรูหรา พรีเมียม ให้ฟีลลิ่งขับขี่ที่สมูท นุ่มนวล ตอบโจทย์สำหรับผู้ขับขี่ที่หลงใหลในความคลาสสิกโดยเฉพาะ

ดีไซน์เอกลักษณ์ ไม่เหมือนใคร

ในส่วนรูปลักษณ์การดีไซน์โมเดล Lambretta G350 นั้นเปรียบเสมือนผลงานศิลปะชิ้นเอก ที่ยังคงเอกลักษณ์ DNA ความเป็น Lambretta เอาไว้อย่างเต็มเปี่ยม ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Masterpiece of Italian Design” ที่ทางค่ายได้ตั้งใจถ่ายทอดออกมาด้วยความพิถีพิถัน และใส่ใจในรายละเอียดในทุกขั้นตอน กับความพิเศษในโมเดลรุ่นนี้ ถูกประกอบด้วยมือหรือ Craftsmanship จากโรงงานนั่นเอง

 

เริ่มจากตัวรถที่ใช้โครงสร้างแบบโมโนค็อก ตัวบอดี้เป็นโลหะเกือบทั้งคัน ตัดกับเส้นขอบสีเงินดูลงตัว โคมไฟหน้าทรงหกเหลี่ยมออกแบบมาเป็นพิเศษ ไฟเลี้ยวแนวตั้งบิลต์อินข้างใน ไฟท้ายแยกกับไฟเลี้ยวดูเป็นสัดส่วน และใช้ระบบไฟเป็น LED

มาต่อในส่วนพิเศษเฉพาะโมเดลแลมเบรตต้า กับจมูกหมูและบังโคลนหน้าขนาดใหญ่แบบฟิกซ์ บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของรถแลมเบรตต้าไว้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังติดกระจกข้างดีไซน์ทรงกลม ชุบโครเมียมดูเงาและลงตัว ช่องระบายอากาศสีดำบริเวณบังลมหน้า ที่ช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศได้ดียิ่งขึ้น

มาต่อในส่วนของประกับคอนโทรล เริ่มจากประกับซ้าย มีสวิทซ์ไฟเลี้ยว ไฟสูง-ต่ำและปุ่มแตร ส่วนประกับขวาจะมีสวิทซ์สตาร์ทเครื่องยนต์ ปุ่มปรับโหมดหน้าจอตัวรถ และไฟฮาทสาท ส่องลงมาจะพบกับ รูเสียบกุญแจ รวมไปถึงปุ่มปลดล็อคเบาะมาให้อีกด้วย

 

ส่องลงมาอีกจะพบกับเก๊ะเก็บของอเนกประสงค์สามารถเก็บอุปกรณ์เครื่องมือ ช่อง USB Type A หนึ่งช่องสามารถชาร์จอุปกรณ์มือถือ หรือแท็บเล็ตต่าง ๆ ตัวเบาะชิ้นเดียวตอนยาว ตัดเย็บตะเข็บเรียบร้อย ออกแบบปาดเว้าด้านข้างเพื่อรองรับท่านั่งขับขี่

แถมยังสามารถเปิดได้ถึง 3 จุด ทั้งปุ่มปลดล็อคที่คอรถ สวิทซ์บริเวณด้านในเก๊ะอเนกประสงค์ และรีโมทคอนโทรลที่ติดมากับกุญแจมือ โดยใต้เบาะจะมี U BOX สามารถเก็บหมวกกันน็อกได้ครึ่งใบหรืออุปกรณ์ อื่น ๆ  และพิเศษกับช่อง USB Type A อีกหนึ่งจุด ที่ทางค่ายตั้งใจติดไว้เพื่อรองรับการใช้งานให้สะดวกมากยิ่งขึ้น

รวมถึงอุปกรณ์อื่น ๆ ทั้งที่พักเท้าแบบพับเปิด-ปิด ที่แขวนของอเนกประสงค์ดีไซน์ไม่เหมือนใคร เหมาะสำหรับการแขวนพวกกระเป๋าเท่ ๆ เก๋ ๆ แถมยังสามารถกดเปิด-ปิด ใช้งานได้ตามต้องการ โดยฝั่งซ้ายของตัวรถจะเป็นแคร้งข้างหรือโซนแต่ง ส่วนด้านขวาจะเป็นฝั่งท่อไอเสียพร้อมติดแผ่นแสตนเลสกันความร้อนมาให้เรียบร้อย

และด้วยความใส่ใจในการออกแบบตัวรถ ที่บ่งบอกถึงเอกลักษณ์ของรถสกู๊ตเตอร์รุ่นนี้ กับเพลทโลโก้แบรนด์ประทับตราไว้รอบคัน ทั้งโคมไฟหน้า ไฟท้าย บังลมหน้า แฮนด์ เฟรมข้าง ที่พักเท้า ใต้เบาะ มือจับคนซ้อน รวมถึงเพลทประดับลายเซ็นต์เจ้าของแบรนด์อย่าง Mr.Ferdinando Innocenti ตรงบริเวณเก๊ะอเนกประสงค์ เหมาะสำหรับการเป็นแรร์ไอเท็มที่นักสะสมควรมีเก็บไว้ซักคันเลยทีเดียว

เครื่องยนต์ LSP เฉพาะรุ่น G350

ในด้านพละพลังเครื่องยนต์รุ่นนี้ เป็นเครื่อง LSP หรือ Lambretta Super Performance ที่เป็นเอกสิทธิ์เฉพาะจากทางค่าย กับ 1 สูบ 4 วาล์ว 330.1 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ พร้อมติดพัดลมระบายอากาศมาให้ถึง 2 ตัว มาพร้อมกับระบบหัวฉีดและระบบขับเคลื่อนสายพาน CVT ซึ่งเป็นระบบพื้นฐานของรถสกู๊ตเตอร์ โดยให้พละกำลังแรงม้าสูงสุดที่ 25.5 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุดที่ 24.5 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที รวมถึงถังน้ำมันที่ติดมาให้ขนาด 9.5 ลิตร

ช่วงล่างเอกลักษณ์ตามฉบับรถ Lambretta

ต่อด้วยระบบช่วงล่าง เริ่มด้วยตัวซับแรงกับโช้คหน้าแบบ Double Arm-Link ทั้ง 2 ข้าง ที่เรียกได้ว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์ ดีไซน์ถอดแบบมาจากโครงสร้างมาจากรุ่นตำนานของ Lambretta มาไว้ในรุ่นนี้ ซึ่งโช้ครุ่นนี้ในภาษาบ้านเราอาจเรียกว่าโช้คขาไก่คู่บ้าง โช้คขาตะเกียบบ้าง ส่วนด้านหลังเป็นโช้คสปริงคู่ และกิมมิกความพิเศษสำหรับโช้คในโมเดลรุ่นนี้ กับการปรับพรีโหลดความแข็งอ่อนของสปริงได้ถึง 5 ระดับ แล้วแต่ความต้องการใช้งานของผู้ขับขี่อีกด้วย

ส่วนระบบเบรก กับดิสก์เบรกขนาด 240 มม. เท่ากันหน้า-หลังมา พร้อมระบบป้องกันล้อล็อคหรือระบบ ABS แบบ Dual Channel ต่อด้วยล้อแม็กขนาด 12 นิ้ว ดีไซน์สวยเป็นเอกลักษณ์ ให้อารมณ์เสมือนรถสกู๊ตเตอร์แลมเบรตต้าในยุคบุกเบิก แต่ยังมาพร้อมกับยางสายเพอร์ฟอร์มานซ์อย่าง Pirelli Angel Scooter ขนาด 120/70 และ 130/70 ตามลำดับ ถือว่าเป็นคู่บุญมาพร้อมกันจากแดนอิตาลีนั่นเอง

เทคโนโลยีล้ำ ทันสมัย

ต่อด้วยระบบเทคโนโลยีที่ติดมากับตัวรถ ทั้งระบบไฟ LED ช่องเสียบ USB Type A ทั้ง 2 จุด ทั้งในเก๊ะเก็บของและบริเวณใต้เบาะซึ่งที่ถือว่าเป็นความแปลกใหม่ ที่ทางค่ายได้ทำการบ้านออกมาให้ใช้งานได้สะดวกมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงสั่งการด้วยรีโมทคอนโทรลที่ติดมากับกุญแจรถ สามารถล็อคคอ เปิดเบาะและฟังก์ชันแสดงตำแหน่งจุดจอดรถ

 

ระบบป้องกันล็อก ABS แบบ Dual Chanel รวมถึงหน้าจอสี TFT รูปทรงสี่เหลี่ยมที่ติดมาให้สีสันคมชัด สามารถปรับระดับแสงหน้าจอได้ และมีเซ็นเซอร์ที่สามารถปรับหน้าจอจากโหมดหน้าจอสว่าง สําหรับกลางวัน เป็นหน้าจอมืดสําหรับกลางคืน

เมื่อตั้งค่าหน้าจอโหมดอัตโนมัติ  พร้อมเสริมฟังก์ชันการเชื่อมต่อบลูทูธมาให้ สามารถโชว์เบอร์สายเรียกเข้าบนหน้าจอ และกดรับสายได้ เพียง กดปุ่มที่ MODE 1 ครั้ง หากกดตัดสาย ให้ กดปุ่ม MODE ค้างไว้

รวมถึงยังแสดงผลทั้ง มาตรวัดความเร็ว มาตรวัดความร้อนเครื่องยนต์ เกย์น้ำมัน รอบเครื่องยนต์ พร้อมไฟแสดงผลทั้ง ไฟสูง ไฟเลี้ยว รวมถึงฟังก์ชันที่สามารถปรับเลือกได้ทั้ง โหมดความสว่างหน้าจอในช่วงกลางวันและกลางคืน ระบบเชื่อมต่อบลูทูธ สามารถกดรับสายโทรศัพท์ผ่านปุ่มคอนโทรลที่ประกับด้านขวา

 Lusto White (สีขาว/เบาะส้ม)
­­­­Scuro Black (สีดำ/เบาะส้ม)
Fresco Red (สีแดง/เบาะแดง)

 

โดยโมเดลรุ่นนี้มีจำหน่ายทั้งหมด 3 สีด้วยกัน ได้แก่ Lusto White (สีขาว/เบาะส้ม) , Scuro Black (สีดำ/เบาะส้ม) และ Fresco Red (สีแดง/เบาะแดง) โดยเปิดราคาอยู่ที่ 215,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สมน้ำสมเนื้อกับการได้ครอบครองตำนานสกู๊ตเตอร์แลมเบรตต้า กับโมเดลที่มีกลิ่นอายความเป็นรถคลาสสิกตัวท็อปจากทางค่ายอีกด้วย

ฟีลลิ่งการขับขี่

และแล้ววันนี้ก็ได้มีโอกาสมารีวิว Lambretta G350 รุ่นนี้ แต่ก่อนอื่นเลย ต้องขออนุญาตให้สมกับเป็นชาว Lambrettista กันซักนิด ซึ่งหลังจากที่ได้ทดสอบการขับขี่ไปแล้ว สิ่งที่สัมผัสได้เริ่มจากท่านั่งการขับขี่ ถึงตัวรถจะเป็นรถพิกัดขนาด 350 ซีซี แต่มิติตัวรถไม่ได้ใหญ่และสูงจนเกินไป โดยส่วนตัวมีส่วนสูงอยู่ที่ 175 ซม. เมื่อคร่อมรถแล้วเหยียดขาถึงพื้นสบาย ๆ ตำแหน่งวางเท้ามีพื้นที่เพียงพอ สามารถที่จะขยับ หรือเหยียดขาไปข้างหน้าได้เวลานั่งขี่นาน ๆ แถมช่วงเข่าเมื่อนั่งแล้วขาไม่กางออกและไม่ชนบังลมหน้า เชื่อว่าสำหรับคนที่มีส่วนสูงประมาณซัก 160 ซม. ก็สามารถใช้งานได้ หรือคนสูง ๆ ขายาว ๆ ตั้งแต่ 180 ซม.ก็สามารถใช้ได้ถ้ายาวจริง ก็สามารถขยับการนั่งถอยหลังมาได้อีกด้วย

ต่อกันที่มุมมองการขับขี่ ส่วนนี้ไม่ติดอะไรเลย เพราะตัวรถไม่ได้บดบังสายตาในเวลาขับขี่ สามารถเห็นวิสัยทัศน์ข้างหน้าหมด ได้ทั้งระยะทาง 50 เมตร หรือ 100 เมตร ไร้ปัญหาแน่นอน สำหรับสายแต่งอยากจะหาชิลด์มาติดเพิ่มก็ทำได้ บวกกับระยะแฮนด์ไม่กว้างจนเกินไป สามารถคอนโทรลตัวรถ ทั้งการเลี้ยว การรักษาบาลานซ์ในระหว่างการขับขี่  ส่วนนี้โอเค สำหรับสายมุดในเมือง วิ่งในซอยเล็ก ๆ หรือขับขี่ช่วงในเวลารถติด ก็ขอแนะนำให้ลองปรับหรือติดกระจกใหม่ จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวได้มากยิ่งขึ้น

มาต่อที่ฟีลลิ่งเครื่องยนต์ของรุ่นนี้กับ 1 สูบ 4 วาล์ว 330.1 ซีซี พอลองขี่แล้วรู้สึกว่าตัวรถให้อัตราเร่งดี ขี่สมูท นุ่มนวล แถมบิดติดมือ ตอบโจทย์สำหรับคนที่ใช้งานในเมืองในความเร็วซัก 80-90 กม./ชม ถือว่าสบาย ๆ แน่นอน และยังเชื่อว่าตัวรถสามารถไปต่อได้อีก ด้วยสเปกเครื่องยนต์ที่ให้มา กับพละกำลังแรงม้าสูงสุด 25.5 แรงม้าที่ 7,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 24.5 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที การขับขี่เร่งแซงในเมือง หรือสายเดินทางที่ชื่นชอบออกทริปต่างจังหวัด เดินทางหลาย ๆ กม. วิ่งได้สบาย ๆ แน่นอน หรือ  สำหรับคนที่อยากเอาไปทำสายเพอร์ฟอร์มานซ์ ไปต่อได้แน่นอน

สำหรับฟีลลิ่งช่วงล่าง กับระบบกันสะเทือนด้วยโช้ค Double Arm link โช้คหลังสปริงคู่ หลังจากที่ขับขี่ไปผ่านหลุมถนน หรือลูกระนาดแล้ว รู้สึกว่าตัวรถซับแรงกระแทกได้ดี หนุุ่มหนึบ ให้การเข้าโค้งได้ดี แถมมั่นใจกว่าโช้คข้างเดียวแน่นอน  ฟีลลิ่งการเบรก กับดิสก์เบรกหน้าหลัง พร้อม ABS แบบ Dual Channel มาให้ หลังจากทดสอบเบรกไปแล้วรู้สึกว่าเบรกหนึบ เอาอยู่แน่นอน

นอกจากนี้เทคโนโลยีการใช้งานในรุ่นนี้ถือว่าตอบโจทย์เช่นเดียวกัน กับสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง เก๊ะเก็บของอเนกประสงค์ และกล่อง Ubox ใต้เบาะ เก็บสัมภาระได้เก็บหมวกได้ ช่องเสียบ USB ที่มีมาให้ทั้ง 2 จุด ซึ่งลองใช้งานแล้ว ส่วนนี้ชอบเลย กับความแปลกใหม่กับที่ชาร์จใต้เบาะ ซึ่งยังไม่เคยพบเห็นในรถรุ่นอื่น ๆ ถือว่าทางค่ายทำการบ้านมาได้ดีเลยทีเดียว

สำหรับส่วนหน้าจอเรือนไมล์ พอใช้งานแล้วรู้สึกว่าตัวจอสีสันสันคมชัด อ่านค่าง่าย แถมตัวฟังก์ชันโหมดต่าง ๆ ตอบโจทย์สำหรับใช้งานอย่างแน่นอน ทั้งระบบบลูทูธ สามารถกดรับสาย ตัดสายโทรศัพท์ โหมดความสว่างหน้าจอทั้งกลางวันและกลางคืน มีให้ใช้งาน

ส่งท้าย

สรุปเลยนะครับ สำหรับโมเดล Lambretta G350 กับสไตล์ตัวรถที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เครื่องยนต์ LSP 330.1 ซีซี ช่วงล่างที่ไม่เหมือนใคร เทคโนโลยีทั้ง หน้าจอสี TFT พร้อมฟังก์ชันอำนวยความสะดวกเต็มรูปแบบ  กับราคา 215,000 บาท ก็ถือว่าเหมาะสมกับความเป็นแบรนด์ตำนานสกู๊ตเตอร์จากอิตาลีที่น่าเก็บสะสมเป็นแรร์ไอเท็มชิ้นสำคัญ  แถมส่วนตัวเป็นคนชื่นชอบรถสไตล์คลาสสิกอยู่แล้ว ดูแล้วไม่เบื่อ พอเอามาทดสอบใช้งานแล้วรู้สึกว่ายิ่งชอบขึ้นไปอีก

ยังไงก็ขอฝาก Lambretta G350 เอาไว้เป็นอีกหนึ่งตัวเลือก รับรองถูกใจแน่นอน สนใจสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่  www.lambretta.co.th หรือไปชมรถตัวจริงได้ที่โชว์รูมแลมเบรตต้าทุกสาขาทั่วประเทศ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

รีวิว Lambretta G350

Next Post

Kawasaki KX450SR 2024 จัดเต็ม เพื่อชัยชนะของคุณ

Kawasaki KX450SR 2024 จัดเต็ม เพื่อชัยชนะของคุณ ทุ […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version