รีวิว Honda XL750 Transalp และ CB750 Hornet ในทริปเดียว
วันนี้แอดมินได้มีโอกาสมาร่วมทริปขับขี่ทดสอบ Trip and Test 750 Series เราก็เลยถือโอกาสขอ รีวิว Honda XL750 Transalp แอดเวนเจอร์ไบค์พิกัดกลางของทางค่ายและ CB750 Hornet เน็กเก็ดไบค์ไซส์กลางที่มาสืบสานตำนานความแรงของเจ้าแตนดุ ด้วยการขับขี่ออกทริปทดสอบสมรรถนะของทั้งสองรุ่นนี้กับทางค่ายปีกนก
XL750 Translap
ช่วงเช้าตรู่เราเริ่มต้นกันที่ศูนย์ฝึกขับขี่ปลอดภัยฮอนด้า กรุงเทพฯ พูดคุยเรื่องเส้นทางและตัวรถกันก่อนเล็กน้อยก่อนที่จะออกเดินทางไปที่พัทยาอันเป็นที่หมายของเรากัน โดยผมได้มีโอกาสขับขี่เจ้า XL750 Transalp ที่เป็นแอดเวนเจอร์ไบค์ไซส์กลางดีไซน์สวยกันก่อนเลย
แน่นอนว่าเลยได้ใช้โอกาสในช่วงแรกนี้ทดสอบบนทางดำด้วยเครื่องยนต์ 2 สูบเรียงขนาด 755 ซีซี กับแรงม้าสูงสุดที่ได้มา 91.77 แรงม้าที่ 9,500 รอบ และแรงบิดสูงสุด 75 นิวตันเมตรที่ 7,250 รอบ ควบคุมด้วยระบบคันเร่งไฟฟ้า ลองบิดทีมีตกใจกันไปเลย ด้วยความแรงและการตอบสนองที่ทันใจของคันเร่ง ทำให้การเร่งแซงสั่งได้ดั่งใจเลยทีเดีย และเมื่อขี่กันที่ความเร็วสูง ๆ ชิลด์หน้าทรงสูงที่ให้มาก็ช่วยกันลมได้ดี ทำให้ไม่ล้ามากเมื่อถึงปลายทางแล้ว
แต่ทว่าหลาย ๆ คนก็น่าจะทราบกันดีว่าถนนบ้านเราเป็นยังไง แน่นอนว่ามันไม่ได้เรียบหรูแน่นอน แต่ด้วยช่วงล่างของเจ้า XL750 Transalp ที่ให้มาเป็นโช้คหัวกลับ Showa SFF-CA กับโช้คเดี่ยวและสวิงอาร์มพร้อมกระเดื่องซับแรง บอกเลยนะครับว่า ช่วงล่างทำออกมาได้นุ่มนวลเหมาะถนนกับบ้านเรามาก ๆ
และแน่นอนว่าเส้นทางที่ทางค่ายได้จัดไว้ให้ ก็ได้มีการพาไปขับขี่ในทางฝุ่นอยู่พอสมควร ช่วงล่างคือซับแรงกระแทกได้อย่างดี ไม่สะท้านมือ แน่นอนบอกเลย ซึ่งแอดขอบอกเลยว่า “ชอบมากกก”
ระบบเบรกด้านหน้าแบบดิสก์เบรกคู่พร้อมคาลิเปอร์เบรกแบบ 2 ลูกสูบด้านหน้าและด้านหลังแบบดิสก์เดี่ยวกับคาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบเดียว ที่ให้มาก็ถือว่าเพียงพอกับใช้งาน เหมาะสมกับกำลังเครื่องยนต์และสไตล์ของตัวรถ
ตัวรถยังทันสมัยแบบที่ใคร ๆ ก็น่าจะชอบ ด้านหน้าจะเด่นด้วยหน้าจอแสดงข้อมูลสี TFT ขนาด 5 นิ้วพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งตอบโจทย์สำหรับสายเดินทางอย่างแท้จริง ยังมีโหมดการขับขี่ 5 โหมด ได้แก่ Sport, Standard, Rain, Gravel และ User ให้เลือกใช้กันตามสถานการณ์การขับขี่ได้อย่างไม่หวาดไม่ไหวกันเลยทีเดียว หรือจะปรับแต่งการทำงานของระบบต่าง ๆ ในแบบที่เราชอบด้วยโหมด User ก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งโดยส่วนตัวแอดชอบโหมด User เพราะสามารถปรับการขับขี่ได้อย่างอิสระ
นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอย่างระบบเบรก ABS ปรับได้ 2 ระดับ (ปิดเฉพาะล้อหลังได้) แทร็คชันคอนโทรลหรือ HSTC 5 ระดับ (เปิด-ปิดได้) พร้อมระบบป้องกันการลอยตัวของล้อ ระบบควบคุมกำลังเครื่องยนต์ 4 ระดับ ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก 3 ระดับ ยิ่งทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น รวมไปถึงสามารถเปิดปิดการทำงานเพื่อให้สามารถใช้งานในแบบออฟโร้ดได้เหมาะสมมากยิ่งขึ้นอีกด้วย และสำหรับใครที่ชอบเดินทางกลางคืน ไม่ต้องห่วง ระบบไฟ LED เต็มระบบ สว่างชัดถึงใจแน่นอน เรียกว่าถึงไหนถึงกันเลย
CB750 Hornet
สำหรับเจ้าเน็กเก็ดไบค์คันนี้ ครั้งแรกที่ได้เห็นบอกเลยว่าหล่อถูกใจผมมาก ๆ ด้วย ดีไซน์ที่เท่และดุดันบวกกับเฟรมรถสีแดงดูสะดุดตามาก ๆ ของมัน ตัวรถออกแบบท่านั่งการขับขี่แบบหลังตรงตามแบบของเน็กเก็ด ทำให้เวลาขับขี่นาน ๆ ไม่มีปวดหลังแน่นอน
ซึ่งเจ้าแตนคันนี้จะมีเครื่องยนต์บล็อกเดียวกันกับทรานส์แอลป์แต่มีช่วงล่างที่แตกต่างออกไป โดยจะเป็นช่วงล่างที่เลือกมาแล้วว่าเหมาะสมกับการขับขี่บนท้องถนน ทั้งในเรื่องของขนาดล้อที่เป็นล้อขนาด 17 นิ้วหน้าหลังเท่ากัน โช้คหน้าหัวกลับ Showa SFF-BP และโช้คหลังเดี่ยวร่วมกับสวิงอาร์มที่มีระยะยุบน้อยกว่า ระบบเบรกที่เป็นดิสก์เบรกคู่พร้อมคาลิเปอร์เบรก Nissin แบบเรเดียลเมาท์แบบ 4 ลูกสูบ และดิสก์เบรกเดี่ยวขนาดพร้อมคาลิเปอร์เบรกแบบลูกสูบเดี่ยว ซึ่งในส่วนของระบบเบรกดีกว่าของทางทรานส์แอลป์เสียด้วยซ้ำ
ถึงแม้เครื่องยนต์จะเป็นตัวเดียวกันกับเจ้าทรานส์แอลป์ แต่ฟีลลิ่งที่ได้จากการขับขี่กลับไม่เหมือนกันเลย เนื่องจาก CB750 Hornet มีน้ำหนักที่เบากว่า และมีรูปทรงที่ โฉบเฉี่ยว สปอร์ตมากกว่า ตลอดไปจนถึงช่วงล่างที่แตกต่าง ทำให้เครื่องยนต์ 750 ซีซี ที่มีความแรงอยู่แล้ว แรงขึ้นกว่าเดิมไปอีกจากการที่มีน้ำหนักเบา อีกทั้งยังทำให้รถควบคุมได้ง่ายมาก เมื่อบวกกับรูปทรงที่ โฉบเฉี่ยว การขับขี่ที่สนุกและคล่องตัว งานนี้น่าจะถูกใจคนที่ใช้งานในเมืองแน่นอน
แน่นอนว่าระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ให้มาก็จะคล้ายคลึงกับของทางทรานส์แอลป์เช่นกัน อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลสี TFT ขนาด 5 นิ้วพร้อมระบบสั่งงานด้วยเสียง ซึ่งตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ต้องการการติดต่ออยู่เสมอ ยังมีโหมดการขับขี่ 4 โหมด ได้แก่ Sport, Standard, Rain และ User ให้เลือกใช้กันตามสถานการณ์การขับขี่
*ซึ่งเรื่องโหมดการขับขี่จะน้อยกว่าทรานส์แอลป์เพราะไม่มี Gravel โหมดที่ออกแบบมาสำหรับใช้ขับขี่แบบออฟโร้ดนั่นเอง
ยังมีระบบความปลอดภัยอย่างระบบเบรก ABS ปรับได้ 2 ระดับ (ปิดเฉพาะล้อหลังได้) แทร็คชันคอนโทรลหรือ HSTC 5 ระดับ (เปิด-ปิดได้) พร้อมระบบป้องกันการลอยตัวของล้อ ระบบควบคุมกำลังเครื่องยนต์ 4 ระดับ ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก 3 ระดับ ยิ่งทำให้การขับขี่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
สรุป
สำหรับทั้งสองรุ่น ไม่ว่าจะเป็น เจ้า XL750 Transalp ที่มาในสนนราคาค่าตัว 394,000 และ CB750 Hornet ที่มาราคาค่าตัวเบา ๆ กว่าที่ 319,000 บาท แอดว่าคุ้มค่ามาก ๆ กับเทคโนโลยีและความแรงที่ให้มา
ตอนนี้อยู่ที่เพื่อน ๆ แล้วแหละครับว่าตัวเองอยากได้รถสไตล์ไหน และมีโจทย์การใช้ชีวิตของเพื่อน ๆ ยังไง แต่ที่สำคัญก็อยากจะให้เพื่อน ๆ ได้ไปทดลองขับขี่กันสักหน่อย ว่าถูกใจจริง ๆ มั้ย โดยเพื่อน ๆ สามารถเข้าไปขอลองทดลองขับขี่ได้ที่ Honda BigWing ทั่วประเทศได้เลยครับ
รีวิว Honda XL750 Transalp และ CB750 Hornet ในทริปเดียว
อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก
รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก