รีวิว CBR650R E-Clutch ซูเปอร์สปอร์ตสี่สูบเรียง ที่ขี่ง่ายที่สุด ณ ตอนนี้

Joe Superbike

รีวิว CBR650R E-Clutch ซูเปอร์สปอร์ตสี่สูบเรียง ที่ขี่ง่ายที่สุด ณ ตอนนี้

หลังจากที่ได้ทำการรีวิวทดสอบ CBR650R โฉมปี 2024 ที่สนามแก่งกระจานเซอร์กิตเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ในครั้งนี้ก็เป็นโอกาสอันดีที่ทีมงาน SuperBikeThailand ได้มาร่วมกิจกรรม Honda E-Clutch The World’s First Ride พร้อม รีวิว CBR650R E-Clutch คนแรก ครั้งแรกและกลุ่มแรกของโลกที่สนามช้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์ 

รูปลักษณ์โฉมใหม่ หล่อขึ้น 

ก่อนเริ่มทำการทดสอบ แอดมินจะพามาชมโฉมเจ้าสปอร์ตสี่สูบเรียงรุ่นนี้กันก่อน เริ่มกันที่รูปลักษณ์ดีไซน์ที่มีการปรับมาใหม่ดูสปอร์ตและหล่อขึ้นทั้งเส้นสาย ลวดลายบนแฟริ่ง ไฟหน้า ไฟท้าย ถังน้ำมัน และตัวเบาะ เรียกได้ว่าเปลี่ยนลุคใหม่ไปจากเจ็นก่อนเลยทีเดียว 

พร้อมกันนี้ยังมาพร้อมหน้าจอสี TFT 5 นิ้ว ที่มีการปรับปรุงแสดงผลให้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถเปลี่ยนรูปการแสดงผลได้ถึง 3 รูปแบบ และตัวหน้าจอยังตัดแสงสะท้อนที่ช่วยให้มองเห็นได้อย่างชัดเจน รวมถึงเทคโนโลยี Honda RoadSync ที่จะมาช่วยอำนวยความสะดวกทั้ง รับโทรศัพท์ ข้อความ ฟังเพลง ดูระบบนำทาง ระบบพยากรณ์อากาศ และระบบสั่งการด้วยเสียง เพียงแค่เชื่อมต่อข้อมูลผ่านสมาร์ทโฟน 

ประกับฝั่งขวา ประกับฝั่งซ้าย

มาต่อกันในส่วนของประกับฝั่งซ้ายที่มีทั้งสวิตช์เปิด-ปิด แทร็กชันคอนโทรล ปุ่มสัญญาณแตร ไฟเลี้ยวและปุ่มคอนโทรลหน้าจอที่สามารถปรับเลื่อนได้ 4 ทิศทาง และยังมีกิมมิกลูกเล่นที่สามารถเปิดแสงส่องสว่างได้ในเวลากลางคืน ส่วนทางประกับฝั่งขวาจะพบกับปุ่มสตาร์ท ปุ่มสวิตช์ออฟรัน และไฟฮาสาทที่มีมาให้

ขุมพลังสปอร์ต 

ในขณะที่ขุมพลังที่ใช้แบบ 4 สูบเรียง 16 วาล์ว ขนาด 649 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ ให้กำลังแรงม้าสูงสุดอยู่ที่ 94 แรงม้าที่ 12,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดที่ 63 นิวตันเมตรที่ 9,500 รอบต่อนาที มาพร้อมระบบจ่ายน้ำมันแบบหัวฉีด ระบบเกียร์ 6 สปีด พร้อมแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์ ทั้งยังมีการปรับองศาแคมป์ฝั่งไอดีและระบบจ่ายน้ำมันมาใหม่ ที่ช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองแรงบิดได้ดียิ่งขึ้น

มาพร้อมเทคโนโลยีช่วยการขับขี่กับระบบ E-Clutch

ชุดคลัตช์ของเจ้าระบบ อี-คลัตช์

อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีกับระบบ E-Clutch เทคโนโลยีใหม่จากทาง Honda ซึ่งระบบนี้มีส่วนประกอบสำคัญ 2 ชิ้นก็คือ ควิกชิฟเตอร์ และ ชุดคลัตช์ โดยชุดคลัตช์ชุดนี้จะมีมอเตอร์ 2 ตัว และเฟืองเกียร์ทั้งหมด 4 เกียร์ สำหรับเจ้าอี-คลัตช์ เป็นเทคโนโลยีที่ควบคุมระบบคลัตช์ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเปลี่ยนเกียร์ได้ทันทีโดยไม่จำเป็นต้องกำคลัตช์ ซึ่งระบบตัวนี้จะช่วยให้ขับขี่สะดวกสบายและนุ่มนวลมากยิ่งขึ้นในทุกจังหวะการใช้งานตั้งแต่สตาร์ทเครื่องยนต์ไปจนถึงหยุดรถนั่นเอง 

ช่วงล่างมาตรฐานจากโรงงาน

โช้คหน้าหัวกลับรุ่น Showa SFF-BP ด้านหลังโช้คเดี่ยวปรับค่าพรีโหลดได้ 10 ระดับ

มาพูดถึงระบบช่วงล่างด้วยโช้คหน้าหัวกลับขนาดแกน 41 มม.จาก Showa SFF-BP ส่วนด้านหลังเป็นโช้คเดี่ยวขนาดแกน 14 มม. สามารถปรับค่าพรีโหลดได้ถึง 10 ระดับ ส่วนระบบเบรกกับดับเบิ้ลดิสก์เบรกแบบโพลทติ้งด้านหน้า พ่วงคาลิเปอร์เบรกแบบเรเดียลเม้าส์จาก Nissin ขณะที่ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเช่นเดียวกัน และส่วนสุดท้ายกับล้ออลูมิเนียมหน้า-หลังขนาด 17 นิ้วมาพร้อมยางหน้าขนาด 120/70 และยางหลัง 180/55 

เทคโนโลยีพร้อมใช้งาน 

หน้าจอสี TFT ขนาด 5 นิ้ว แสดงผลฟังก์ชันใช้งานครบครัน

สำหรับเทคโนโลยีที่ติดมากับตัวรถ เริ่มด้วยระบบอำนวยความสะดวกในการขับขี่ทั้ง ระบบไฟส่องสว่าง LED หน้าจอสี TFT ที่มาพร้อมระบบ Honda Roadsync เชื่อมต่อรถเข้ากับสมาร์ทโฟน และพอร์ต USB Type-C ติดตั้งมาให้สำหรับชาร์จสมาร์ทโฟน

ส่วนทางด้านระบบเสริมความปลอดภัยที่เริ่มด้วย HSTC หรือ Honda Selectable Torque Control หรือในภาษาบ้านเรามักเรียกกันง่าย ๆ ก็คือระบบแทร็คชันคอนโทรล ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกระทันหัน ESS ต่อด้วยระบบเบรก ABS Dual Channel ที่เข้ามาช่วยลดระยะการเบรกให้ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

ทอสอบครั้งแรก กลุ่มแรก และคนแรกของโลก

สำหรับการทดสอบครั้งนี้จะถูกแบ่งเซกชันออกเป็น 2 ช่วงก็คือการขับขี่ในแทร็กสนามช้างฯ และการขับขี่บนทางดำ โดยในส่วนวันแรกจะเน้นการขับขี่ในแทร็กเป็นหลัก ซึ่งแบ่งกรุ๊ปขับขี่ออกเป็น 3 กลุ่มให้รีวิวแบบจัดหนัก จัดเต็ม เรามาดูกันดีกว่าว่าเจ้า CBR650R รุ่นอีคลัตช์จะตอบโจทย์เหล่าไบค์เกอร์ได้มากน้อยแค่ไหนกันเชียว

รูปลักษณ์ปรับใหม่ ถูกใจยิ่งนัก

ในส่วนแรกกับรูปลักษณ์ตัวรถที่มีการปรับลุคมาใหม่ ดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยวและทันสมัยมากขึ้น โดยตัวลวดลายนั้นมีรายละเอียดเทกเจอร์ดูสวยงาม และเชื่อว่ารุ่นนี้จะต้องถูกอกถูกใจเหล่าสาวกไบค์เกอร์อย่างแน่นอน 

ต่อมามิติตัวรถ เมื่อเทียบกับรุ่น Standard คงไม่มีอะไรแตกต่าง นอกจากตัวเครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งระบบอี-คลัตช์มาเพิ่มบริเวณด้านขวาของตัวรถ ดูแล้วไม่เกะกะสายตาถือว่าทางค่ายออกแบบมาดีเลยทีเดียว

มาดูในส่วนของท่านั่งขับขี่ สำหรับตัวรถไม่ได้มีขนาดที่สูงจนเกินไป พอเวลานั่งคร่อมแล้วสามารถเหยียดขาถึงพื้นทั้งสองข้างได้สบาย ๆ (ส่วนสูง 175 ซม.) สำหรับคนที่ส่วนสูงน้อยกว่าหรือไบค์เกอร์สาวสายสปอร์ตตัวเล็ก ๆ ที่มีส่วนสูงซัก 160 ต้น ๆ ก็สามารถใช้งานได้เช่นเดียวกัน อาจจะต้องอาศัยทักษะ ขยับสรีระนิดหน่อยก็สามารถขับขี่ได้แล้ว แต่ถ้าหากไม่ถึงจริง ๆ ก็สามารถเซ็ตติ้งตัวรถให้เข้ากับตัวผู้ขับขี่ได้เลย 

ต่อด้วยตำแหน่งการวางเท้า แน่นอนว่ารถสปอร์ตท่านั่งก็ให้ฟีลลิ่งแบบสปอร์ตเช่นกัน รวมทั้งองศาระยะแฮนด์ที่ไม่กว้างจนเกินไป สามารถคอนโทรลการเลี้ยวได้สะดวก บวกกับระยะจากแฮนด์ถึงตัวเบาะที่ไม่ห่างมาก สามารถขับขี่ได้ทั้งในรูปแบบใช้งานทั่วไปรวมไปถึงขับขี่ในแทร็กก็ยังทำได้ 

สำหรับมุมมองการขับขี่ ส่วนนี้ถือว่าสะดวกสบาย ชิลด์หน้าไม่สูงมาก ไม่บดบังสายตาในขณะขับขี่ รวมถึงตัวกระจกข้างที่สามารถมองเห็นด้านหลังได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ตัวหน้าจอสี TFT ยังสามารถอ่านค่าได้ง่าย ชัดเจน แม้ขับขี่ในช่วงเวลากลางวันอีกด้วย

เครื่องยนต์สี่สูบเรียง ที่ขี่ง่ายที่สุด ณ ตอนนี้

แน่นอนว่าเครื่องยนต์สี่สูบเรียงพิกัด 650 ซีซี ที่มีแรงม้าถึง 94 ตัวและแรงบิดที่ 65 นิวตันเมตร โดยฟีลลิ่งหลังจากที่ได้ขับขี่ไปแล้ว มันทำให้รู้สึกว่าตัวรถมีอัตราเร่งที่ดีขึ้น เพราะด้วยเครื่องยนต์ที่มีการปรับองศาแคมป์ฝั่งไอดีและปรับจูนระบบจ่ายน้ำมันมาใหม่ ทำให้รู้สึกว่าเวลาเดินรถในช่วงรอบต้นนี่บิดติดมือ ส่วนรอบกลางไปจนถึงรอบปลายยังสามารถปล่อยไหลไปได้สบาย ๆ ส่วนตัวที่ขับขี่ในแทร็กทำท็อปสปีดไปที่ 220 กม./ชม. และเชื่อว่าตัวรถสามารถไปได้อีกอาจจะ 230 กม./ชม. ขึ้นไป 

รวมทั้งยังให้ความคล่องตัวสำหรับการขับขี่บนทางดำ ตัวรถมีพละกำลังเหลือ ๆ ให้สามารถขับขี่ซอกแซก หรือจังหวะช่วงเร่งแซง ส่วนนี้สบาย ๆ หายห่วง ทั้งยังมีแอสซิสต์สลิปเปอร์คลัตช์ที่ช่วยให้การเชนเกียร์ขึ้น-ลงนุ่มนวลมากขึ้น ถ้าหากใครที่ชื่นชอบสายสปอร์ต ซิ่งหน่อย ๆ ขี่สนุกให้ลองดูรุ่นนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวัง

และอีกสิ่งหนึ่งสำคัญที่อยากจะพูดถึงนั่นก็คือเจ้าระบบอี-คลัตช์รุ่นนี้ทำออกมาได้นุ่มนวล การเข้าเกียร์ในแต่ละเกียร์ทำได้ต่อเนื่องไม่มีอาการกระตุกหรือสะดุดเลย แต่ในส่วนของคนที่ยังอยากได้ฟิลลิ่งของการใช้คลัตช์ ก็ยังสามารถใช้งานได้ปกติ และไม่มีผลกระทบอะไรต่อระบบเครื่องยนต์และระบบของ อี-คลัตช์เลยนะครับ

และในความคิดเห็นส่วนตัวของเจ้าอี-คลัตช์ สามารถใช้งานในเมืองที่รถติดๆ หรือ ในชั่วโมงเร่งด้วยได้อย่างดี เพราะเราไม่ต้องมากังวลเรื่องของการกำคลัตช์ให้เมื่อยมือกันอีกด้วยนะครับ สามารถขับขี่และเข้าเกียร์ได้อย่างสบายใจอีกด้วย 

ถ้าใช้โหมดอี-คลัตช์ แล้วเผลอกำคลัตช์จะเกิดอะไรขึ้น

อาจเป็นคำถามยอดฮิตของหลาย ๆ คน ถ้าหากใช้โหมดอี-คลัตช์ในขณะขับขี่อยู่แล้วเผลอ กำคลัตช์ ขึ้นมาหล่ะก็ บอกเลยว่าไม่ต้องกังวลหายห่วงได้เลย เพราะเจ้าระบบอี-คลัตช์นั้น ยังมีคลัตช์เดิมและสามารถใช้งานพร้อมกันได้หรือบ้างครั้งเราลืมตัวเผลอไปกำคลัตซ์ ตัวระบบจะตัดไปเป็นโหมดใช้คลัตช์ปกติในระยะสั้นๆ ประมาณ 5 วินาที แล้วจะกลับมาเป็นโหมดอี-คลัตช์เหมือนเดิม แต่ถ้าในขณะขับขี่อยู่แล้วเราไปเผลอกำคลัตช์ โดยที่รถมีความเร็วอยู่ประมาณ 40 กม./ชม.ขึ้นไป ระบบจะตัดเป็นโหมดใช้คลัตช์ปกติให้แค่ 2 วินาที แล้วถึงจะกลับมาเป็นโหมด อี-คลัตช์ เหมือนเดิมนั่นเอง

ถ้าหากผู้ขับขี่จะทำการเปิด-ปิดใช้งานระบบอี-คลัตช์ โดยใช้ปุ่มควบคุม 4 ทิศทางจากประกับฝั่งซ้าย เข้าเมนู Setting และทำการเปิด-ปิดได้ทันที รวมทั้งยังสามารถปรับระดับของควิกชิฟเตอร์ Up-Down ได้ทั้งหมด 3 ระดับ (Hard, Medium, Soft) ซึ่งผู้ขับขี่จะต้องทำการหยุดรถอยู่กับที่ และปรับเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N) เท่านั้น ถึงจะสามารถทำการเปิด-ปิดเจ้าระบบอีคลัตช์ได้ 

และเมื่อไหร่ที่เราปิดโหมด อี-คลัตช์ ควิกชิฟเตอร์ก็จะไม่สามารถทำงานได้เช่นกัน และในทุกครั้งที่เราดับเครื่องไม่ว่าจะอยู่ในโหมด อี-คลัตช์หรือโหมดปกติ แต่พอเวลาบิดสวิตช์เปิดเครื่องยนต์ระบบจะออนโหมด อี-คลัตช์ ให้อัตโนมัติ โดยสามารถสังเกตุจากไฟโลโก้สีเขียวทางฝั่งด้านขวาของหน้าจอ ในส่วนนี้มองว่าขับสะดวกสบาย ง่ายมากขึ้น และเหมาะกับไบค์เกอร์มือใหม่ที่อยากขับขี่บิ๊กไบค์อีกด้วย

ช่วงล่างนุ่มหนึบ ปรับเซ็ตได้ตามถนัดผู้ขับขี่ 

สำหรับระบบช่วงล่างกับโช้คหัวกลับ และโช้คเดียวด้านหลังที่สามารถปรับพรีโหลดได้ถึง 10 ระดับ โดยหลังจากการทดสอบไปแล้วถือว่าตัวโช้คนั้นถูกเซ็ตติ้งมาดี ไม่ย้วยหรือแข็งจนเกินไป เหมาะสำหรับการใช้งานได้หลากหลายรูปแบบ โดยสามารถปรับเซ็ตค่าความแข่งอ่อนให้เข้ากับผู้ขับขี่ได้ตามความต้องการ ในส่วนนี้ถือว่าไม่มีปัญหา ตอบโจทย์อย่างแน่นอน 

ต่อด้วยฟีลลิ่งระบบเบรกกับดับเบิ้ลดิสก์เบรกหน้า และดิสก์เบรกเดี่ยวด้านหลัง ที่มาพร้อมระบบเบรก ABS โดยเมื่อได้ทดสอบลองใช้เบรกไปแล้ว ในส่วนนี้ถือว่าโอเคตามมาตรฐานที่โรงงานติดตั้งมาให้ สำหรับรุ่นนี้มีจำหน่ายให้เลือกถึง 2 สีได้แก่ สีไตรคัลเลอร์และสีดำ โดยเปิดราคาจัดจำหน่ายเริ่มต้นที่ 347,300 บาท โดยสามารถจับจองหรือลองทดสอบขับขี่ได้ที่ Honda BigWing ทุกสาขาทั่วประเทศ 

ก็สรุปนะครับสำหรับเจ้า CBR650R 2024 E-Clutch นั้นก็คือโมเดลที่ถูกออกแบบมาให้ขับขี่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่เพียงแค่ตอบโจทย์เหล่าไบค์เกอร์มือใหม่เท่านั้น แต่ยังเหมาะสำหรับผู้ขับขี่ที่ชื่นชอบสายสปอร์ตและใช้งานใช้ชีวิตประจำวัน ไม่ต้องกำคลัตช์ให้เมื่อยมืออีกต่อไป แถมยังได้รถสปอร์ตที่มีลวดลายที่ถูกใจมาครอบครองในราคาที่จับต้องได้อีกด้วย

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่อ่านบทความอื่นๆ เกี่ยวกับ Honda คลิก

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Next Post

ส่องรถแข่ง Yamaha YZR-M1 2024 สเปกเป็นไง ลองไปดู

ส่องรถแข่ง Yamaha YZR-M1 2024 สเปกเป็นไง ลองไปดู ก […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version