รีวิว BMW R18 First Edition ครูเซอร์ไบค์สุดคลาสสิค ที่แอบทันสมัยกว่าที่คิด

Admin Superbike

รีวิว BMW R18 First Edition ครูเซอร์ไบค์สุดคลาสสิค ที่แอบทันสมัยกว่าที่คิด

รีวิว BMW R18 First Edition

สำหรับการทดสอบในครั้งนี้ก็จะเป็นการ รีวิว BMW R18 First Edition ครูเซอร์ไบค์สุดคลาสสิค ที่แอบมีเทคโนโลยีทันสมัยแอบซ่อนอยู่ภายในกันครับ

หล่อแบบดั้งเดิม

 

แรกเริ่มเดิมทีนั้นเจ้าครูเซอร์คันเบิ้มคันนี้มีต้นแบบมาจาก R5 โมเดลปี 1936 ซึ่งเป็นรถที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ด้านการออกแบบและระบบเครื่องยนต์ของมอเตอร์ไซค์ในยุคนั้น ซึ่งเจ้าครูเซอร์โมเดลใหม่นี้ถือเป็นความพยายามครั้งที่ 2 ของทางค่ายที่ตั้งใจจะตีตลาดรถครูเซอร์ไบค์ ต่อจาก R 1200 C

โดยเจ้าเบิ้มคันนี้ถอดแบบเจ้า R5 มาทั้งเส้นสาย สไตล์ และดีไซน์มาหมดเลยครับ ซึ่งจะมีจุดเด่นเป็นเครื่องบ็อกเซอร์ขนาดใหญ่ การเปลือยเพลาขับ และชิ้นส่วนวัสดุแบบดั้งเดิมคือเป็นโลหะ แทนที่จะเป็นพลาสติกหรือคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งตรงนี้บอกเลยว่าได้ความเก๋ามาเต็มๆ แต่ก็แลกมาด้วยน้ำหนักที่มากเอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ

 

 

องค์ประกอบของความคลาสสิคดั้งเดิม ก็เช่น ไฟหน้า เรือนไมล์ และกระจกมองหลังเป็นทรงกลม มีถังน้ำมันทรงหยดน้ำ และเน้นชิ้นส่วนโครเมียมในหลายๆ จุดของตัวรถ แต่ก็มีการใส่ฟังก์ชันทันสมัยๆ เข้าไปในหลายจุดแบบแนบเนียน เช่น ระบบไฟ LED เต็มระบบ ระบบไฟเดย์ไทม์รันนิงไลท์ ระบบไฟปรับตามองศาการเข้าโค้ง ไฟเลี้ยวแบบมีไฟท้ายในตัว เป็นต้น 

และที่เป็นเอกลักษณ์สำคัญมากที่สุด คือ ลายเส้นคู่บนตัวถังน้ำมันและบนบังโคลนท้าย และเพลตคำว่า First Edition ที่ด้านข้างตัวรถ ตัวเครื่องวางบนเฟรมแบบเปลคู่เผยให้เห็นเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ขนาดใหญ่ได้ชัดเจน

 

ขุมพลังใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา

ในส่วนของเครื่องยนต์นั้นเรียกว่าสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับทางค่ายรถจากเมืองบาวาเรียด้วยเช่นกัน เพราะมันเป็นเครื่องบ็อกเซอร์ หรือเครื่องยนต์แบบ 2 สูบนอนขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ทางค่ายผลิตมาเลย โดยจะเป็นเครื่องแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ขนาด 1,802 ซีซี 

ทางค่ายเคลมกำลังแรงม้าสูงสุดมาที่ 91 แรงม้าที่ 4,750 รอบ และแรงบิดสูงสุดที่ 158 นิวตันเมตรที่ 3,000 รอบ พร้อมระบบเกียร์ 6 สปีดและเกียร์ถอยหลัง และใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยระบบเพลาแบบเปิด ซึ่งจะต่างจากครูเซอร์ทั่วๆ ไป ที่มักจะเป็นสายพานหรือโซ่

 

ช่วงล่างเด่นที่ระบบเบรก


มาต่อกันเรื่องช่วงล่างกันบ้างครับ สำหรับระบบกันสะเทือน ด้านหน้าจะมีโช้คหน้าเป็นแบบเทเลสโคปิกพร้อมปลอกหุ้มโช้คให้มาดคลาสสิค โช้คหลังเป็นโช้คเดี่ยวซ่อนอยู่ใต้เบาะยากต่อการมองเห็นจากด้านนอก ให้อารมณ์เหมือนเป็นรถฮาร์ดเทล 


แต่ที่เด่นจริงๆ จะเป็นระบบเบรกครับ โดยด้านหน้าจะดิสก์เบรกหน้าคู่ขนาดใหญ่ทำงานร่วมกับคาลิเปอร์เบรกแบบ 4 พ็อต ด้านหลังเป็นดิสก์เบรกเดี่ยวขนาดเดียวกันด้านหน้าเลย แต่จะเหลือจานเดี่ยวเท่านั้นเอง กับคาลิเปอร์เบรกแบบ 4 พ็อต เช่นกันพร้อมระบบเบรก ABS 

ส่วนขนาดล้อจะเป็น 19 นิ้วและ 16 นิ้ว แบบไม่ใช้ยางในตามลำดับ ให้มิติท่านั่งในแบบสไตล์ของครูเซอร์ขนานแท้

 

ถึงหน้าตาจะเก๋าแต่เทคโนโลยีไม่เก่า


แน่นอนครับว่านี่คือบีเอ็มดับเบิ้ลยู ฉะนั้นเรื่องเทคโนโลยีนี้บอกเลยว่ามาเต็ม มาแน่นตลอด ไม่ว่าจะเป็นโมเดลระดับไหนก็ตามนะครับ อย่างเจ้าเบิ้มคันนี้ที่มาในดีไซน์เก๋าๆ ย้อนยุค แต่ก็ยังมากด้วยเทคโนโลยีอยู่ดี

 

 

ตัวรถมีระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยในเรื่องการขับขี่และช่วยเสริมความปลอดภัยอยู่หลากหลายอย่าง อาทิ คันเร่งไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ 3 โหมด Rock, Roll และ Rain มีระบบควบคุมเสถียรภาพแบบอัตโนมัติ (ASC) หรือแทร็คชันคอนโทรล มีระบบป้องกันรถกระชากหรือ Anti Hopping Clutch ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน ระบบไดนามิกเบรกคอนโทรล ระบบควบคุมเอ็นจิ้นเบรก และระบบไฟหน้าปรับอัตโนมัติขนะเข้าโค้งหรือ Adaptive Headlight

 

ลองซิ่งดูหน่อย

ด้วยทรงรถซึ่งถูกออกแบบให้เป็นครูเซอร์ไบค์ จึงมีแฮนด์บาร์สูงและกว้างกำลังพอดีและลงตัว ผนวกกับตำแหน่งการวางเท้าจัดทรงมาอยู่ตำแหน่งด้านหน้าไม่มากเท่าไร ทำให้ชันเข่าเข้าเกียร์พอดีๆ รวมไปถึงเบาะผู้ขับขี่ ออกแบบมาให้โค้งกระชับมีพนักพิงบั้นท้ายกันการไหลเวลาเปิดคันเร่ง ทำให้เจ้าเบิ้มคันนี้ขี่ได้ง่ายมากขึ้น

ในส่วนของช่วงการขับขี่ระยะทางยาวๆ ก็ถือว่านุ่มนวล เพราะเราได้ทดสอบออกทริปกันแบบจริงๆ แต่เป็นทริประยะสั้น ไป-กลับ สุพรรณบุรี ระยะทางโดยรวม 200 กว่ากิโลเมตร ในช่วงความเร็วสูงๆ มีปะทะลมหนักๆ บ้างแต่ก็ต้องเข้าใจเพราะการออกแบบตัวรถไม่ได้มีชิลด์บังลม แต่ก็ถือว่ายังพอไปได้ จบทริปไม่มีอาการปวดเมื่อยแต่อย่างใด ส่วนการใช้งานในเมืองอาจจะต้องทำความรู้จักกับระยะตัวรถสักนิดนึง การบาลานซ์ ความยาวตัวรถและความกว้างเครื่องยนต์และแฮนด์บาร์ จะช่วยให้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น 

 

ช่วงล่างนุ่มหนึบ

ช่วงล่างคันนี้ตอบโจทย์สายคลาสสิก ได้ฟีลลิ่งนุ่มนวล หนึบๆ เวลาเข้าโค้งความเร็วสูงๆ ก็สามารถเลี้ยวได้มั่นใจ แต่สำหรับมือใหม่ อาจจะต้องทำความคุ้นเคยกันสักเล็กน้อยเพราะมียางหลังที่มีขนาดใหญ่ ทำให้ต้องใช้จังหวะในการเลี้ยวพอสมควร แต่ถ้าสำหรับใครที่มีความเคยชินกับรถสไตล์ครูเซอร์ไบค์แบบนี้ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาเลยละครับ

ฟีลลิ่งเบรกที่ให้มาเป็นคาลิเปอร์เบรก 4 พ็อต ทั้งหน้าและหลัง พร้อมจานเบรกแบบโฟลตติ้ง ให้ฟีลลิ่งนุ่มนวล อันนี้ต้องบอกเลยว่าไม่มีครั้งไหนที่ไม่มั่นใจในเรื่องเบรก เมื่อได้ขับ BMW ความปลอดภัยมาเป็นอันดับ 1 เลยก็ว่าได้ สำหรับคันนี้มาพร้อมเทคโนโลยีการกระจายแรงเบรกหน้าหลัง ทำให้มีระยะเบรกที่สั้นลงและตัวแรงเบรกเองก็ทำงานได้เป็นอย่างดี นุ่มมือ รู้สึกได้เลยว่ารถคันนี้หนัก 3 ร้อยกว่ากิโลกรัม เอาอยู่ได้อย่างสบายๆ

แรง ดิบ ดุ

สำหรับเรื่องเครื่องยนต์นั้น ต้องขอแยกประเด็นกันก่อนนิดนึง สำหรับเรื่อง “ความแรง” คันนี้แรงแน่นอน ด้วยเครื่องยนต์ 1802 ซีซี แรงบิดมากกว่าแรงม้า ขับเคลื่อนด้วยเพลา นุ่มนวล ทำท็อปสปีดหรือความเร็วสูงสุดได้เกือบ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมง 

ตัวเครื่องยนต์บ็อกเซอร์ มีคาเร็กเตอร์เฉพาะตัว ทั้งรูปลักษณ์ของตัวมันเองและก็การทำงานที่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ เป็นเครื่องยนต์ที่แรงบิดมาตั้งแต่รอบต้นๆ มาพร้อมกับคันเร่งไฟฟ้าและไรดิงโหมด โดยส่วนตัวชอบ โหมด Rock มากๆ เพราะให้ความแรงแบบเต็มพิกัด แต่โหมด Roll ไม่ใช่ไม่แรงนะแค่ Rock ขี่มันส์กว่า และยังมีโหมด Rain มาให้ด้วย เสริมความปลอดภัยอีกขั้นเมื่อมีฝนตกหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้ล้อหมุนเสียการทรงตัว ASC ทำงานเหมือนแทร็กชั่นจะทำงานได้อย่างละเอียดรวดเร็วแม่นยำ ปลอดภัยแน่นอน

และสำหรับประเด็นที่แยกมาคือ “ความดิบ” มันให้ความดิบตั้งแต่สตาร์ทรถ เครื่องยนต์ตัวนี้จะให้ฟีลของบ็อกเซอร์ที่แท้จริง ช่วงชักยาวๆ ลูกสูบโตๆ สตาร์ทแล้วที่รอบเดินเบารถจะดึงซ้ายหน่อยๆ หรือขวาบ้างบางที ทำให้เวลาขับถ้าเครื่องยนต์เดินเบาอาจจะต้องชินกับมันสักหน่อย ยิ่งช่วงความเร็วสูงๆ แล้วเข้าโค้ง หรือ แซงเปลี่ยนเลนส์ อาจจะต้องมีการผ่อนคันเร่งลงมาหน่อย จะช่วยให้เปลี่ยนเลนคอนโทรลตัวรถได้อย่างง่ายมากขึ้น 

ในส่วนของการใช้งานในเมืองมุดรถติดๆ อาจจะต้องหาบาลานซ์รถให้ดี เพราะด้วยเครื่องยนต์ใหญ่สูบขวางออกมา และมีแรงเหวี่ยงดึงจากตัวเครื่องยนต์ทำให้การมุดรถติดๆ นั้นทำได้ แต่ยังไม่คล่องตัวเท่าไร โดยเฉพาะสำหรับมือใหม่ แต่ก็อย่างว่าละครับ ไม่ต้องไปมุดอะไรมากมายขนาดนั้นหรอกครับ รถสไตล์ครูเซอร์ไบค์หล่อๆ แบบนี้เอาพอเหมาะพอควรก็พอ ยังไงก็หล่อเท่ทุกย่านความเร็วแน่นอน

 

สรุป

สำหรับเจ้าเบิ้มคันนี้ถือเป็นรถที่ดูจะตอบโจทย์คนชอบในสไตล์คลาสสิคและชอบเดินทางไกลซะเป็นหลัก ใช้ในชีวิตประจำวันก็ทำได้ แต่อย่างในกรุงเทพรถติดๆ ดูจะเป็นการไม่สะดวกเอาเท่าไหร่ ทั้งเรื่องของขนาดและน้ำหนัก ส่วนเรื่องสมรรถนะการขับขี่นั้นไม่ต้องเป็นห่วงความเร็วนี่น้องๆ รถสปอร์ต ทั้งที่จริงๆ แล้วสายนี้เขาเน้นชิลล์กันซะมากกว่า 

มีจุดที่ต้องตำหนินิดนึงว่า การที่มันไม่มีเกจบอกน้ำมันที่เหลือ มีเพียงแต่แจ้งเตือนว่าน้ำมันใกล้จะหมดเมื่อไหร่เท่านั้น อาจจะทำให้ใช้งานยากลำบากเล็กน้อย

สำหรับสนนราคานั้นอยู่ที่ 1,150,000 บาท หากให้เทียบกับความสวยงาม สไตล์ สมรรถนะและระบบต่างๆ ที่ให้มาถือว่าไม่แพงเกินไปนัก 

สุดท้ายนี้ถ้าคุณเป็นคนที่แสวงหาความสวยงามแบบโมเดิร์น ความเบา ความคล่องตัว คันนี้อาจจะไม่ใช่ทางของคุณครับ

อ่านข่าวอื่นๆ คลิกที่นี่

รับชมวิดีโอการทดสอบรถต่างๆ ของเราคลิก

Next Post

WMC250EV รถไฟฟ้าต้นแบบที่ตั้งเป้าทำสถิติ 400 กม./ชม.

WMC250EV รถไฟฟ้าต้นแบบที่ตั้งเป้าทำสถิติ 400 กม./ช […]

You May Like

Subscribe US Now

Exit mobile version