ดูเหมือนว่า Kawasaki จะสามารถสร้างโอกาสที่ดีให้กับตัวเองได้อย่างชัดเจน เมื่อทางค่ายได้ทำการเปิดตัว Z900 รุ่นใหม่ไปเมื่อปีที่แล้ว
By: Roland Brown Translate & Edit: Benz Pics: Double Red & Ula Serra
มันมาพร้อมกับเครื่องยนต์ขนาด 948 ซีซีที่ทรงพลังวางบนเฟรมแบบท่อเหล็กกล้า มีสไตล์ที่ดุดันและทันสมัย มันเป็นรถที่แรง เร็วและควบคุมได้ดี ชื่อ Z900 ยังสะท้อนถึงสุดยอดซูเปอร์ไบค์แห่งยุค 70 ที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบแบบ DOHC ที่ทรงพลังอีกด้วย นี่จึงน่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะเจาะที่จะจับเอามรดกจากในอดีตมาผสมผสานกับรถใหม่แล้วใช่มั้ยล่ะครับ?
ดูเหมือนว่าหลายต่อหลายคนที่ Kawasaki จะเห็นด้วยกับโอกาสครั้งนี้และยังชื่นชมความรุ่งเรืองในอดีตของทางค่าย เพราะเพียงแค่ปีเดียวหลังจากการเปิดตัว Z900 เท่านั้น Z900RS ก็ตามมาติดๆ RS นั้นย่อมาจากคำว่า Retro Sport หรือเรโทรสปอร์ต โดยไฟหน้าทรงกลม กรอบเรือนไมล์โครเมี่ยม ถังน้ำมันทรงหยดน้ำและท้ายรถแบบดั๊กเทลหรือท้ายงอน ทำให้หวนนึกย้อนไปถึง Z900 รุ่นแรก และ Z1 บรรบุรุษที่ยอดเยี่ยมของมัน
ถึง RS จะไม่ได้มีอะไรที่ดีกว่ารถคันอื่นๆ บนท้องถนนไปเสียทุกอย่าง แต่มันเหมือนกับ Z1 ที่เปิดตัวในปี 1973 (Kawasaki อาจจะแย้งว่าพวกเขามี ZX-10RR ที่เหนือกว่าค่ายอื่นๆ ) แต่มันเป็นทายาทที่ควรค่าจริงๆ ด้วยแรงม้า 109 ตัวกับนน้ำหนักตัวเพียง 215 กก. ทำให้มันมีอัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหันกที่ดีกว่ายอดขุนพลในอดีตที่ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 903 ซีซี ทั้งยังมีแชสซีที่ดีกว่ามากและระบบอิเล็กทรอนิกส์จากโลกสมัยใหม่อีกด้วย
วิศวกรของ Kawasaki ใช้ช่วงเวลาปีที่ผ่านมาได้ดีมากๆ เพราะ RS นั้นไม่ใช่แค่จับ Z900 มาแต่งตัวเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ผ่านการคิดมาแล้วว่าสี่สูบสไตล์เรโทรนั้นจะดึงดูดไบค์เกอร์ที่ต่างออกไป พวกเขาจึงปรับจูนเครื่องยนต์เพื่อให้ได้สมรรถนะในช่วงรอบกลางมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็มีการออกแบบเฟรมใหม่ เพิ่มสมรรถนะของเบรคหน้าให้ดีขึ้นและเพิ่มไฟแบบ LED และแทร็คชั่นคอนโทรลเข้าไป
เครื่องยนต์ยังคงเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ 948 ซีซี ระบายความร้อนด้วยน้ำ แบบ DOHC 16 วาล์ว แต่มีการเปลี่ยนแคมชาฟต์ใหม่ ลดอัตราส่วนการอัด และมีข้อเหวี่ยงที่หนักขึ้น 12% ท่อไอเสียใหม่แบบ 4 ออก 1 เพรียวมากขึ้นกว่าของ Z900 ซึ่งช่วยเพิ่มแรงม้าในรอบกลาง แรงบิดสูงสุดแทบจะไม่เปลี่ยนเลย แต่มันจะมาเร็วขึ้นกว่าเดิม 1,200 รอบ เป็นที่ 6,500 รอบ ขณะที่แรงม้าสูงสุดลดลงมา 14 ตัว
แชสซีได้มีการเปลี่ยนแปลงมากมายเพื่อที่จะให้ RS นั้นขี่ได้ง่ายยิ่งขึ้นกว่าเจ้า Z900 แผงคอใหม่ให้ระยะเทรลน้อยลง 5 มม. เพื่อให้เลี้ยวได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะชดเชยเรื่องของมุมเรคที่มากขึ้นและฐานล้อที่ยาวขึ้น 20 มม. แผงคนบนถูกยกให้สูงขึ้น 40 มม. มาพร้อมกับแฮนด์บาร์ที่ทำให้คนขี่ไม่ต้องก้มมาก แฮนด์กว้างกว่าและโน้มไปข้างหลังมากขึ้น พักเท้าเองก็ต่ำลง 20 มม.และยื่นไปข้างหน้า ซึ่งช่วยให้ได้ท่านั่งที่สบายกว่า
เฟรมก็เปลี่ยนไป ตัวเฟรมท่อด้านบนนั้นจะแคบลง ช่วยให้วางถังน้ำมันที่เพรียวบางกว่าได้ ซับเฟรมท้ายด้านล่างมีช่องว่างมากพอที่จะวางเบาะนั่งสไตล์เรโทรแบบ 2 ตอนที่หนากว่าเดิมได้สบายๆ ส่วนอื่นๆ ของช่วงล่างที่เปลี่ยนไปก็ยังจะมีล้อแม็กแบบก้านบางขนาด 17 นิ้ว ซึ่งออกแบบมาให้คล้ายๆ กับล้อซี่ (ซึ่งมีข้อดีคือเบา) และคาลิเปอร์เบรคหน้าแบบโมโนบล็อก 4 พ็อต โช้คหน้าหัวกลับปรับแต่งได้ขนาด 41 มม. ส่วนระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบโช้คเดี่ยววางนอน (เกือบๆ) ปรับแต่งพรีโหลดและรีบาวด์แดมปิ้งได้
หัวหน้าฝ่ายออกแบบ Norikazu Matsumura ได้ทำการเช็คให้มั่นใจว่าจะมีสไตล์ที่คล้ายคลึงกับ Z1 ให้มากที่สุด รูปทรงของตัวรถแทบจะทั้งคันต้องคล้ายคลึง ไม่ใช่แค่เพียงถังน้ำมันหรือท้ายรถเท่านั้น แต่ยังต้องรวมไปถึงด้านข้างของตัวรถด้วย รถที่เราขี่ในงานเปิดตัวนั้นเป็นชุดสีส้มสลับสีน้ำตาลที่เป็นสีเดียวกับโมเดลในปี 1973 เลย แล้วก็จะมีสีอื่นให้เลือกก็จะเป็นสีดำหรือสีเขียวด้าน
รายละเอียดต่างๆ ของรถนั้นดูดีขึ้นเวลาคุณดูใกล้ๆ และคล้ายกับ Z1 มากๆ มัน ทั้งโลโก้ที่ด้านข้างรถ กระจกมองข้างทรงกลม เบาะปัก และไฟท้าย LED ทรงรี กระทั่งตัวฟอนต์ในเรือนไมล์ก็เป็นเหมือนของรุ่นดั้งเดิม แต่ในเรือนไมล์กรอบโครเมี่ยมจะเป็นการแสดงผลข้อมูลแบบดิจิตอลแทน มีทั้งระดับน้ำมัน อัตราการสิ้นเปลือง เลขบอกเกียร์และนาฬิกา
และน่าจะชัดเจนว่านี่คือรถจาก Kawasaki คันแรกที่เสียงจากท่อไอเสียนั้นได้ถูกจูนมาเป็นอย่างดี ความทุ่มเทนั้นคุ้มค่ามากๆ เพราะเสียงคำรามของเจ้า RS นั้นแม้อาจจะยังไม่ดังเทียบเท่ากับรุ่นดั้งเดิมได้ แต่มันก็จูนมาให้ผ่านมาตรฐาน Euro 4 แบบพอดิบพอดี ตอนที่ผมปล่อยคลัทช์ออกเบาๆ รถก็พุ่งออกไปได้อย่างง่ายดาย ที่เกียร์แรกจะทดต่ำหน่อยเพื่อให้ชดเชยกับอัตราทดเกียร์ทั้งหมดที่โดยรวมแล้วจะถูกทดให้มากขึ้น และที่เกียร์ 6 ก็จะช่วยให้ขับขี่ทางไกลได้แบบสบายๆ มากขึ้น
แรงม้าสูงสุดอาจจะลดน้อยลงเมื่อเทียบกับ Z900 แต่เจ้า RS ก็ยังคงมีแรงม้าอยู่ในระดับแถวหน้าสำหรับเน็กเก็ตไบค์ระดับนี้ และมันยังยืดหยุ่นและขี่ได้ง่ายอีกด้วย กราฟแรงม้านั้นแสดงให้เห็นว่ามันมีแรงบิดมากกว่าในทุกช่วงความเร็วรอบที่ต่ำกว่า 7,000 รอบ ทำให้รถคันใหม่นี้ขี่ได้สนุกยิ่งขึ้นที่รอบต่ำๆ และให้อัตราเร่งที่รวดเร็วทันใจตั้งแต่ช่วง 5,000 รอบขึ้นไป ท็อปสปีดที่ทำได้ก็อยู่ที่ 225 กม./ชม. ซึ่งนั่นก็เพียงพอแล้วสำหรับรถสไตล์นี้
ผมอาจจะไม่ได้ขี่ไต่ไปจนถึงท็อปสปีดก็จริงเพราะที่ตอนเหนือของสเปนในวันนั้นมันหนาวเย็นมากๆ แต่ Z900RS ก็ทำให้ผมสัมผัสได้ถึงความสมู้ทและแทบจะไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรในการหวดมันบนมอเตอร์เวย์เลย ทั้งๆ ที่ต้องเจอกับลมปะทะแบบเลี่ยงไม่ได้ และมันก็ให้ความรู้สึกคุ้นเคยมากตอนที่ผมกลับมาขี่บนถนนที่คดเคี้ยวบนเทือกเขาทางตอนเหนือของเมือง Sitges การตอบสนองของคันเร่งนั้นไม่มีการสะดุด ตอบสนองได้รวดเร็วทันใจ การส่งกำลังทำได้ดีสมู้ทไม่รู้สึกถึงอาการกระชาก ต่างกับ Suzuki GSX-S1000 หรือ Yamaha MT-09 ที่กระโชกโฮกฮากกว่า แต่นั่นก็ทำให้การเร่งความเร็วนั้นด้อยกว่าตามไปด้วย โดยเฉพาะเวลาออกจากโค้งความเร็วต่ำ
สมรรถนะของแชสซีนั้นดีมากๆ โดยเฉพาะสำหรับรถที่ออกแบบมาให้ใช้งานแบบชิลล์ๆ อย่างเช่นการขี่ในถนนสายรองซะมากกว่าแบบนี้ Kawasaki คันนี้เลี้ยวง่าย หน้าเบา ช่วยให้คอนโทรลรถได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ก็เป็นผลมาจากการที่มีแฮนด์บาร์ที่กว้างนั่นเอง ระบบกันสะเทือนนั้นก็เฟิร์มและให้ตัวได้ดี แม้ระยะยุบจะไม่เปลี่ยนไปจาก Z900 (ด้าหน้า 120 มม.ด้านหลัง 140 มม.) โดยโช้คด้านหน้าและหลังนั้นออกแบบมาได้ดีช่วยให้ควบคุมรถได้ดี ทำให้บังคับเลี้ยวได้อย่างรวดเร็ว ทั้งยังไม่จำเป็นต้องมานั่งปรับเซ็ตโช้คก่อนด้วย (แล้วแต่คน)
คาลิเปอร์เบรคหน้าแบบโมโนบล็อกที่เป็นของใหม่นี้ให้แรงหยุดที่เหลือเฟือ จานเบรคอาจจะต่างออกไปเพราะใช้จานกลมธรรมดาแทนที่จะเป็นจานหยักแบบ Z900 ระยะห่างจากตัวรถถึงพื้นเองก็มีเหลือเฟือ แม้ว่าจะบ้างที่ขายึดขาตั้งข้างจะลงไปขูดกับพื้นเมื่อเข้าโค้งจนหมดสุดลิมิตของยางที่ให้มา ตัวรถยังมีแทร็คชั่นคอนโทรลซึ่งยอมให้ยกล้อได้ในโหมดที่เน้นไปทางขับขี่แบบสปอร์ตใน 2 ค่าที่มีมาให้ เป็นลูกเล่นที่ Z900 นั้นไม่มี
Kawasaki ได้แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจที่จะทำตามคำมั่นสัญญา จะให้มันมีความสามารถรอบด้าน ตอนที่เรามุ่งหน้าไปยังใจกลางเมือง Barcelona ในอีกวัน ทั้งๆ ที่เราใช้งานมันหนัก แต่ก็ยังทำอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยได้ที่ 6 ลิตรต่อ 100 กม. ทำให้มันวิ่งได้ราวๆ 250 กม.สบายๆ จากถังน้ำมันขนาด 17 ลิตร แฮนด์บาร์ที่กว้าง องศาการบังคับเลี้ยวก็มีมากพอและน้ำหนักก็เบา เมื่อรวมกันแล้วช่วยให้คล่องตัวแม้ในเวลาที่รถติดๆ และถึงแม้ว่าเบาะนั่งจะยังไม่ต่ำมาก เพราะอยู่ที่ 835 มม. แต่ตัวรถนั้นเพรียวบางมากพอที่จะให้นักบิดส่วนใหญ่สามารถขี่ได้โดยที่สองขาถึงพื้น
สำหรับคนที่ร่างเล็กนั้นก็มีอ็อพชั่นเสริมเป็นเบาะนั่งที่ต่ำกว่า 35 มม.ช่วยแก้ปัญหาได้ ทางค่ายยังมีของแต่งพิเศษมากมายตั้งแต่ มือจับคนซ้อนโครเมี่ยม บังลมหน้าย้อมสี และโลโก้ติดถึงพิเศษ และยังมีส่วนที่เน้นการใช้งานจริงอย่าง ฮีทกริ๊ป และขาตั้งคู่ นอกจากนี้หากคุณฝันอยากจะเป็นนักซิ่ง ก็มี Z900RS Café ซึ่งมีแฟริ่งน้อยชิ้น แฮนด์บาร์ต่ำ เบาะนั่งสองตอนตัดเว้า ท่อไอเสียปัดเงา และชุดสีเขียวมะนาวสลับขาวตามแบบฉบับของ Kawasaki
มันดูดีมากๆ และ RS คันนี้ก็ดูดีมีสไตล์ น่าจะขับขี่ได้สนุก เป็นผลงานยอดเยี่ยมที่ผสานเอาหน้าตาของรถซูเปอร์สตาร์ยุค 70 ของ Kawasaki เข้ากับสมรรถนะสมัยใหม่และสเน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์ มันเป็นรถที่ดีกว่า Zephyrs จากต้นทศวรรษ 1990 อยู่มาก และสมกับที่จะเป็นคู่แข่งให้กับรถเรโทรจากค่ายอื่นๆ อย่าง BMW R nineT และ Yamaha XSR900
บางทีข้อด้อยเพียงข้อเดียวของเจ้า RS ก็อาจจะเป็นเรื่องที่ว่ามันแพงกว่า Z900 อยู่มาก แต่กระนั้นมันก็ได้รับความนิยมมาก Kawasaki นั้นรอมานานกว่า 4 ทศวรรษที่จะชุบชีวิตสร้างชื่อ Z900 ใหม่ และปีนี้ถือเป็นปีพิเศษจริงๆ ที่พวกเขาเข็นเอา Z900RS ออกมาได้ดีขนาดนี้ เขาใช้เวลาได้คุ้มค่าทุกนาทีจริงๆ