SPECIAL – TYRE TEST: METZELER KAROO STREET
UNBELIVEABLE
ประสบการณ์ขับขี่ที่ไม่มีวันลืมคือนิยามของการได้ขับขี่ทดสอบในครั้งนี้ ผมได้รับโอกาสเป็นตัวแทนจากไทยไปขับขี่ทดสอบยาง Metzeler Karoo Street ที่อิตาลี โดยได้รับเชิญจากทาง Metzeler ว่าจะมีงานเปิดตัวยางใหม่ ที่เป็นยางแบบกึ่งที่มีลักษณะการใช้งานบนถนน 50% และทางลุยอีก 50% ผมนี่ตื่นเต้นมากๆ เลยครับที่จะได้ไปทดลองขับขี่ก่อนใคร
Words: Saeed Benchavichien Pics: Metzeler
การเดินทางครั้งนี้ ผมเตรียมตัวเต็มที่กับการไปทิ้งโค้งเข่าลากดินที่อิตาลี จัดการเตรียมชุดแข่งหนังครบเซ็ต เสื้อ หมวก ถุงมือ รองเท้า แพ็คใส่กระเป๋าเดินทาง 1ใบ และฝึกซ้อมทบทวนสิ่งที่ได้เรียนมาในหัวตลอดการนั่งเครื่องบิน (ไม่เกิน 1ชม.ที่เหลือหลับ) จากสุวรรณภูมิสู่เมือง Catania ในอิตาลีซึ่งใช้เวลาเดินทางปาไปครึ่งวัน และสิ่งที่เตรียมตัวไปกับข้อมูลคร่าวๆ ว่า Catania เป็นเกาะหนึ่งในอิตาลีกับภาพในหัวที่หาดูจาก Google ก็พบว่าเป็นเมืองที่มีภูเขา อากาศหนาวเหน็บ มีหิมะตก…มีถนนเป็นโค้งคล้ายกับการแข่งขัน Isle of man TT เลยพกเสื้อวอร์มเมอร์กับเสื้อกันหนาวตัวฟูๆ ไปด้วยแต่กลับเป็นว่า… หลังจากที่ลงจากเครื่องไปรับกระเป๋าใส่ชุดหนังที่หนัก 20 กิโลกว่าๆ เข็นออกจากเทอร์มินัลก็ได้พบว่าเสื้อที่ใส่อยู่นั้นถอดดีกว่า เพราะอากาศแทบไม่ต่างจาก เชียงใหม่บ้านเรา แต่เป็นเชียงใหม่ที่ติดทะเล และมีภูเขาสูงเหมือนภูเขาไฟฟูจิ อากาศเลยค่อนข้างงงๆ เพราะ ติดทะเล ยืนกลางแดดร้อนหน้าไหม้ แต่ลมพัดเย็นสบาย อะไรแบบนั้น
หลังจากที่ได้ออกจากสนามบินก็นั่งรถยาวๆ ถึงโรงแรม และเข้าสู่บรรยากาศของการขับขี่…พอถึงโรงแรมวางกระเป๋ารับกุญแจห้อง ก็ได้พักซักหน่อยและก็เดินไปเดินมา จนได้เห็นเขาเข็น Ducati Multistrada 950 ออกมาให้ยลโฉม พร้อมกับยาง Metzeler Karoo Street ซึ่งเป็นยางร่องเตี้ยทำให้ผมใจตุ้มๆ ต่อมๆ ว่าโดนแน่ๆ ต้องพาไปเละแน่นอน และหลังจากที่เดินวนรอบรถจนยามเริ่มจะคิดว่าผมเป็นโจรกระจอกส่งตรงมาจากอินเดียแล้ว นักขี่เทสต์จากหลายๆ ประเทศก็ได้มารวมตัวกัน ซึ่งถ้านับอายุตามเส้นผมที่เหลืออยู่บนหัว ผมน่าจะอายุน้อยที่สุด..หรือไม่แน่มันอาจจะเป็นแฟชั่นของทางยุโรปก็เป็นได้
อวดสรรพคุณ
แล้วก็ถึงเวลารับบรีฟจากทีมงาน Metzeler ก็เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของยาง Metzeler Karoo Street ซึ่งตามที่ Savatore Pennisi หัวหน้าฝ่ายทดสอบ BU Moto จะมาเป็นผู้นำทางให้ ก็บอกว่า ทางที่จะไปขี่ทดสอบกันในครั้งนี้จะรวมเส้นทางทุกแบบเท่าที่จะหาเจอได้ ไม่ว่าจะเป็นทางดำ ทางดิน หิน ฝุ่น โคลน น้ำเย็นๆ ฝน เรียกได้ว่าฟินที่สุดของสายทัวริ่งตัวจริงเลย และตามที่ได้รับข้อมูลมาจากทีมวิจัยและพัฒนา ก็พอได้รู้ว่ายาง Metzeler Karoo Street เป็นยางที่สามารถขี่ได้บนทุกพื้นผิว มีโปรไฟล์ ของยางที่โค้งมนแบบยางออนโร้ดทัวริ่ง และมีบั้งหนาๆ ที่พร้อมจะลุยออฟโร้ดได้ทุกเมื่อ และเพิ่มเติมไว้อีกว่าตัวยางจะมีเนื้อยางแบบพิเศษที่ให้ดอกหรือบั้งๆ บนยางนั้นยืดหยุ่นได้เพื่อยืดอายุการใช้งาน และเพิ่มการยึดเกาะบนถนนดำ นอกจากนั้นฐานของบั้งยางจะเป็นเนื้อยางคาร์บอนที่มีความแข็งแรง ให้ความแข็งกับยางเวลาที่ต้องเจอทางออฟโร้ดหรือดินร่วนๆ หลังจากฟังบรี๊ฟเสร็จเราก็แยกย้ายกันไปพักผ่อน
ยาง Metzeler Karoo Street เป็นยางที่สามารถขี่ได้บนทุกพื้นผิว
เช้าวันใหม่แสนสดชื่นท่ามกลางอากาศหนาวเย็น ผมแต่งตัวใส่ชุดหนังสีดำทมึน สวมถุงมือ รองเท้าและหิ้วหมวกกันน็อกเดินออกไปที่จุดนัดพบ เพื่อกินข้าวเช้า ก่อนจะนัดแนะเส้นทาง โดยจะเริ่มออกเดินทางจากหน้าโรงแรมแล้วตัดเข้าทางป่าแบบออฟโร้ดกันก่อนเลย จากนั้นจะขึ้นไปบนผาโดยลอดอุโมงค์เล็กๆ เพื่อวิ่งผ่านธารน้ำเล็กๆ เพื่อเข้าจุดพักแรก และจะแวะเทสต์ยางกันและถ่ายรูปบนเส้นทางกรวดและหินลอย ต่อจากจุดพักนี้ก็จะพาขึ้นเขา Etna ซึ่งจะเป็นทางลาดชันๆ และอากาศจะเริ่มเย็นขึ้นเรื่อยๆตามระดับความสูง แถมด้วยน้ำเย็นๆ จากหิมะละลาย และมีหิมะบนถนนเป็นหย่อมๆ พูดจบเขาก็ยังกำชับไว้อีกว่าให้ลองได้ทุกคัน ทุกโหมดจะสลับกันขี่ตอนไหนก็ได้แค่ตะโกนบอกว่าจะแลกกับคันไหน…หลังจากบรีฟเสร็จสรรพ โดยผมเลือกเริ่มจาก Triumph Tiger 800 XRC โฉมใหม่ไฟหน้าตั๊กแตนก่อนเลย
ลองของจริง
พวกเราออกจากโรงแรมไปบนถนนซึ่งมีหน้าตา (และความลื่น) คล้ายกับถนนในบ้านเรา ขี่ออกไปได้ไม่ถึง 3 นาที ถึงกับต้องผงะ เพราะ…เจอกับทางน้ำท่วมยาวๆ เป็นน้ำขุ่นๆ ซึ่งไม่มีทางรู้ได้ว่ามันลึกแค่ไหน ผมก็ได้เติมคันเร่งย่องๆ ไปช้าๆ แต่นักทดสอบชาติอื่นๆ ที่ถนัดสายแอดเวนเจอร์ที่ดันหลังผมอยู่นั้นก็ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษใจความว่า “เร่งไปเลยไอ้น้อง อย่าไปกลัว” ด้วยความที่ผมเป็นคนหูเบาเชื่อคนง่ายเลยจัดไป อัดคันเร่งไปยาวๆ ยืนขี่ไปแบบเสียวๆ ผ่านไปแอ่งแรกความรู้สึกแว่บแรกในหัวคือ…ต้องล้มแน่ๆ เพราะข้างล่างลึกแค่ไหน แอ่งเป็นไงไม่มีทางรู้ ผมเลยขี่ตามไลน์คันข้างหน้าที่เป็น Honda Africa Twin ที่ลงน้ำเหลือแค่ครึ่งคัน แน่นอน ผมต้องเละแน่ๆ แต่ก็ผิดคาด (ยกเว้นน้ำเย็นๆ ที่ขังอยู่ในรองเท้า) ผมก็ผ่านมันไปได้สบายๆ โดยที่รถไม่มีอาการไถล โยก กำลังเครื่องที่ถูกส่งไปยังล้อและยางก็ยังเต็มประสิทธิภาพเหมือนทางแห้ง อาจจะช้าลงบ้างที่มีน้ำต้าน พอแอ่งแรกผ่านไป ความมั่นใจผมก็มากขึ้น แอ่งน้ำอื่นๆ ก็ผ่านไปได้อย่างไร้ปัญหาใดๆ
เข้าถึงเรื่องอาการของยาง…เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง โดยปกติแล้วการที่ขี่บนทางที่มีหินก้อนใหญ่ๆ หรือหลุมที่มองไม่เห็น อาการล้อหน้าแฉลบนั้นเรียกได้ว่าเป็นเรื่องปรกติ ทว่าในยางใหม่นี้ถือว่าสามารถรับมือกับแรงกระแทกและน้ำหนักรถสูงๆ ได้เป็นอย่างดี อาการสั่นสะท้านมาที่มือและกาส่ายของแฮนด์น้อยกว่าที่คิดไว้มาก ทำให้สามารถยืนขับและควบคุมรถในทางขรุขระได้ง่ายขึ้น และเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ด่านต่อมาก็คือทางกรวดแคบๆ แห้งๆ และเหวข้างซ้าย…แต่ก็ได้กำลังใจกับทีมงานว่า ให้ขี่ตรงไปข้างหน้า อย่าทะลึ่งไปขี่ขอบถนน เพราะถ้าตกลงล่ะก็แย่แน่นอน ผมได้แต่ตะโกนกลับไปว่า โอเค ขี่ไปได้ซักพักเขาก็จะหยุดพักที่ทางแยกเพื่อนับหัวว่าไม่มีใครตกเหว ผมสบโอกาสได้ลองปรับโหมดเป็น Off Road Pro ด้วยความอยากรู้อยากลอง และด้วยโหมดใหม่นี้ ผมเหมือนขี่รถคนละคัน กำลังเครื่องที่เพิ่มขึ้นแทบจะยกล้อ แต่ยางก็ไม่มีอาการแถทั้งๆ ที่พื้นเป็นกรวด หรือถ้าแถ ก็เป็นอาการที่สามารถควบคุมได้ ผมทะลึ่งยกล้อขึ้นเนินแบบโมโตครอสไปหนึ่งกระบวนท่าและแลนดิ้งด้วยล้อหน้าและไข่ที่บี้ไปที่ถัง เล่นเอาจุกไปพักใหญ่
ต่อมาเริ่มเข้าทางอุโมงค์มืดๆ และมีน้ำขังเป็นระยะๆ ถือเป็นการทดสอบยางบนพื้นตะไคร่น้ำ รอบนี้ผมได้ลองอัดความเร็วไปร่วมร้อยกว่า แต่ก็ไม่รู้สึกแตกต่างจากพื้นถนนดำปรกติทั่วไป ขี่ไปได้ซักพัก ก็เริ่มเห็นแสงส่วางที่ปลายอุโมงค์ และทางลาดชันที่พาลงไปสู่ธารน้ำที่มีน้ำไหลเอื่อยๆ เต็มไปด้วยกรวดเล็กๆ อยู่เต็มไปหมด
แม้ว่าสายแอดแวนเจอร์มันจะไม่ใช่ทางผมเท่าไหร่ แต่ก็เอาว่ะ ผมค่อยๆ รินคันเร่งเพิ่มขึ้นเรื่อย ความเร็วที่ค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น ความมั่นใจก็มีมากขึ้นกว่าก่อนเริ่ม แต่ในบางจังหวะที่ข้ามจากแอ่งหินเล็กหินน้อย ล้อหน้าหลังอาจจะมีอาการแฉลบบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับสะบัดหรือดิ้น ทำให้ผมยิ่งมั่นใจ เลยได้ลองเปลี่ยนไปลองรถคันใหญ่ลงมาขี่อีกรอบ คราวนี้เป็น BMW R 1200 GS แม้จะหนักกว่า Tiger แต่ด้วยล้อหน้าที่ใหญ่และบางกว่า เวลาที่ล้อหน้าข้ามหินก็สามารถควบคุมได้ง่ายขึ้น แรงกระแทกที่เบาลง เหมือนแค่ขี่บนทางเป็นคลื่นๆ ซึ่งอาจจะเป็นเพราะช่วงล่างด้วย
หลังจากนั้นกลับเป็นทางขึ้นเขาอีกครั้ง ผมก็ได้เปลี่ยนรถเป็น Ducati Multistrada 950 คันเดียวกันกับที่เจอจอดอยู่วันแรกที่เจอ ส่วนถนนที่จะขี่เต็มไปด้วยถนนโค้งแคบๆ พับไปพับมา และเลนรถที่นี่จะกลับด้านกับบ้านเรา ก็ต้องปรับตัวอยู่พักนึง ขี่ย่องๆ อยู่ซักพัก ทีมนำทริปก็เริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น ผมก็ต้องพยายามไต่ตามไปเรื่อยๆ และก็พับเข้าโค้งตามจังหวะของคันข้างหน้า ทำให้ผมลืมไปเลยว่ายางที่ใช้อยู่คือยางแบบกึ่ง Metzeler Karoo Street ตัวนี้ อารมณ์ของยางไม่ได้รู้สึกเขินหรือต่างจากยางทัวริ่งทั่วไปเท่าไหร่ สามารถพับเข้าโค้งความเร็วสูง หรือโค้งแคบความเร็วต่ำได้สบายๆ ไม่ได้มีร่องลึกเหมือนยางหนามทั่วไปที่เวลาจะเข้าโค้งยางจะเหมือนตกเหว วูบหายไป…
ในเรื่องของการเบรค ทำงานได้ดีกับระบบ ABS ของรถทุกคัน ซึ่งช่วยลดการเด้งที่ยางเวลาที่ ABS ทำงานเว้นแต่เจ้า R 1200 GS ที่กดเบรกหนักๆ บนพื้นชื้นๆ แล้วมีเสียงหอนออกมา แต่ที่เหลืออาการดิ้น ส่าย สั่น ไม่ค่อยรู้สึกแตกต่างจากยางถนนดำจากค่ายนี้เลย
หลังจากที่ขึนถึงเขา Etna อันสวยงามแล้วนั้นก็เป็นทางลงเขายาวๆ โค้งอารมณ์เดิม หักศอกไปหักศอก รถสวนบ้าง เหวบ้าง กรวดบ้าง ของเก่าแทบจะขึ้นมาอยู่ที่คอ…เล่นเอาขมคออยู่เป็นพักๆ พอลงมาถึงล่างเขาก็เป็นช่วงสุดท้ายของการเดินทาง ก็คือไฮเวย์หรือทางด่วนบ้านเขา ซึ่งตาลุงผู้นำทริปก็ไม่ได้ถามความสมัครใจในความเร็ว พี่แกเล่นอัดไป 200+ แล้วผมก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากขี่ตาม เพราะถ้าคลาดกัน หรือหลงทางนี่งานงอกแน่นอน เพราะกระเป๋าตังมีแต่แบงค์ไทย 40 บาท พาสปอร์ตก็ไม่ได้พกออกมา มือถือตัวใหม่รุ่นเรือธงแต่ไม่ได้เปิดโรมมิ่งเพราะเอาเงินผ่อนไปลงหมดแล้ว หรือเรียกง่ายๆ ว่า หลงก็คือเกม ในตอนนั้นนอกจากความรู้สึกที่ลมต้านจนแทบตัวจะปลิวแล้วส่วนอื่นๆ ของรถ รวมถึงยางก็ไม่ได้มีอาการแปลกประหลาด แต่ที่น่าแปลกใจคือ…ยางที่ใส่คือยางแบบกึ่ง ขี่ลุยได้ด้วยนะครับอย่าลืม แต่มันทำความเร็วได้เหมือนยางปกติ แม้เสียงหอนจากยางมันยังดังอยู่แต่ก็ไม่ถึงกับว่าดังอะไรมากนัก
นอกจากความรู้สึกที่ลมต้านจนแทบตัวจะปลิวแล้วส่วนอื่นๆ ของรถ รวมถึงยางก็ไม่ได้มีอาการแปลกประหลาด
ฟันธง
และหลังจากที่ได้ซัดบนทางด่วนยาวๆ ก็เข้าที่พักและแลกประสบการณ์กับคนอื่นๆ ซึ่งก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าเอาผ้ามาปิดตาเวลาขึ้นรถ ก็ไม่มีทางรู้ว่ายางที่ติดอยู่บนล้อคือยางหนาม อาจจะเด้งๆ อยู่บ้างแต่ก็ถือว่าน่าทึ่ง ในทางฝุ่นทางดิน ก็ไม่ขี้ริ้วขี้เหร่อะไร ทำงานได้ดีด้วยซ้ำยิ่งรถที่มีระบบต่างๆ ที่ช่วยเหลือ แทบไม่ต่างจากยางออฟโร้ดแบบเต็มตัว จะเห็นความต่างแท้จริงก็ต่อเมื่อปิดระบบทุกอย่าง แต่นักขี่หลายๆ คนก็ไม่ได้ปิดระบบทุกอย่างขนาดนั้น ซึ่งคนทั่วไปก็คงจะไม่บ้าเลือดห้าวเป้งขนาดปิดทุกอย่างแม้แต่แทร็คชั่นคอนโทรลเท่ากับว่าเป็นการตอบโจทย์สำหรับคนชอบการเดินทางและการผจญภัย หรือโดนหลอกไปลุยทั้งๆ ที่ไม่ได้คุยกัน เป็นยางที่ใช้งานแบบ ถนน 50 ลุย 50 ที่เจ๋งที่สุดเท่าที่เคยลองมาครับ
อ่านข่าวสารเพิ่มเติม คลิกทีนี้
ติดตามข่าวสาร Facebook คลิกทีนี้